22 กรกฎาคม 2552
ทายนิสัยจากรสชาติอาหาร
คนที่ชอบอาหารรสหวาน
จะเป็นคนใจบุญ ขี้สงสารคน อารมณ์ดีร่าเริงสดใสแต่บางครั้งก็ดู เหมือนเว่อร์ ๆ ไปหน่อย ชอบกีฬา และโปรดปรานเสียงเพลง ส่วนทางด้านความรักจะเป็นคนที่รักง่ายหน่ายเร็ว แต่ถ้ารักใครก็รักจริง ข้อเสียคือขี้หึงเต็มร้อย มักจะเป็นคนที่มีจิตใจโลเลเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองเท่าไหร่นัก มักจะเป็นคนช่างฝัน มีโลกส่วนตัว มีความเป็นมิตรสูง ไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ ก็เอาเรื่องถ้าถูกหักหลัง
ชอบอาหารรสเค็ม ส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยเหมือนรส คือขี้งก มักได้ ชอบอะไรที่ไม่ต้องลงทุนแต่หวัง ว่าจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมามาก ขี้เหนียว เวลาไปไหนกับคนชอบเค็มเรามักจะต้องควักจ่ายมากกว่า แต่หากได้กินเงินของเค้าละก็ ต้องถือว่าชาติก่อนทำบุญมาดี เป็นคนที่ขยันทำงาน เก็บเงินเก่ง แต่งตัวปอน ๆ ซ้ำ ๆ ประมาณว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สนขอแค่เงินในบัญชีไม่พร่อง ด้านความรักจะเป็นคนไม่ชอบแสดงออก บวกกับไม่ค่อยทุ่มด้วยแล้ว จึงมักจะกินแห้วอยู่เสมอ แต่ก็เป็นคนที่รักความสงบและไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ๆ นัก
ชอบอาหารรสเปรี้ยว เป็นพวกสังคมจัด ชอบออกงาน ชอบคบค้าสมาคมกับคนทุกระดับ จะเป็นคนที่ช่างพูดช่างเจรจา ชอบทำตัวเด่น แต่บางครั้งก็ โอเว่อร์เกินหน้าเกินตาคนอื่นทำให้ถูกหมั่นไส้ได้ หาเงินคล่องแต่ก็ใช้เงินเก่ง แต่ก็ยังมีเหลือเก็บบ้างเหมือนกัน ส่วนข้อเสียคือ ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเลยทำอะไรไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนัก และไม่ชอบที่จะทำงานที่ต้องออกแรงเยอะอีกด้วย ออกจะติดแนวรักสบายไปสักหน่อย
ชอบอาหารรสเผ็ด เป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว รุนแรง ตัดสินใจเด็ดขาด โกรธง่ายแต่หายเร็ว ปากร้ายแต่ก็ใจดี เป็นคนฉลาดทันคน พูดจาตรงไปตรง มาคิดอย่างไรว่าอย่างนั้น จะเป็นคนที่มีความมานะ อดทน และมีความเพียรพยายามสูง เรียกว่าตั้งใจทำ อะไรถ้ายังไม่สำเร็จตามที่คิดไว้ก็จะทำให้เสร็จ และจะไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ทำถูกต้องแล้ว เป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับใคร แต่ถ้าลองได้รักใครแล้วทุ่มสุดใจถวายชีวิตเชียวแหละ
ชอบอาหารรสจืด เป็นพวกเศรษฐกิจพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี มีแค่ไหนใช้แค่นั้น แต่บางครั้งก็มากเกินไปจนกลายเป็นคนไม่ค่อยขวนขวายกระตือรือร้น เป็นคนหนักเอาเบาสู้งานมากงานน้อยไม่หวั่น ว่านอนสอนง่ายใครว่าไงก็ว่าตาม อยู่ง่ายกินง่าย ชอบ แต่งตัวสบาย ๆ ข้อเสียของคนชอบรสจืดคือเป็นพวกคน ขี้ใจน้อย ขี้สงสาร ใจอ่อน มักจะชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน เลยโดนคนอื่นหลอกอยู่บ่อย ๆ.
ทายความเป็นตัวคุณ !?!?!?!?!?!?
ตอบคำถามให้ครบก่อนนะจ๊ะอย่าเพิ่งรีบดูเฉลยล่ะ
คำถามข้อที่ 1 ถามว่า หากคุณสามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชนิดหากโลกจะแตก คุณจะเลือกช่วยอะไร?
1. กระต่าย
2. แกะ
3. กวาง
4. ม้า
คำถามข้อที่ 2 ถามว่า หากคุณได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมชมเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งในแอฟริกา ขากลับเขาจะให้สัตว์อย่างหนึ่งเพื่อเป็นที่ระลึก คุณจะเลือกตัวอะไร?
1. ลิง
2. สิงโต
3. งู
4. ยีราฟ
คำถามข้อที่ 3 ถามว่า ถ้าคุณได้ทำผิดแล้วถูกพระเจ้าลงโทษสาปให้เป็นสัตว์ คุณจะเลือกเป็นตัวอะไร?
1. สุนัข
2. แมว
3. ม้า
4. งู
คำถามข้อที่ 4 ถามว่า ถ้าคุณมีอำนาจ คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดหายสาบสูญไปจากโลกตลอดกาล ?
1. สิงโต
2. งู
3. จระเข้
4. ฉลาม
คำถามข้อที่ 5 ถามว่าคุณอยากจะให้สัตว์ชนิดใดพูดภาษาคนได้มากที่สุด ?
1. แกะ
2. ม้า
3. กระต่าย
4. นก
คำถามข้อที่ 6 ถามว่าหากต้องติดอยู่บนเกาะร้างกลางมหาสมุทร คุณอยากจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อน ?
1. มนุษย์
2. หมู
3. วัว
4. นก
คำถามข้อที่ 7 ถามว่าถ้ามีเวทมนตร์ คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์เลี้ยง
?1. ไดโนเสาร์
2. เสือขาว
3. หมีขั้วโลก
4. เสือดาว
คำถามข้อที่ 8 ถามว่าคุณจะเลือกเป็นตัวอะไรถ้าหากสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้ 5 นาที ?
1. สิงโต
2. แมว
3. ม้า
4. นกพิราบ
คำถามข้อที่ 1 คุณสามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้หนึ่งชนิดหากโลกจะแตกคุณจะเลือกช่วยอะไร?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คนที่มีบุคลิกแบบใดที่ดึงดูดใจคุณมากที่สุด
1. กระต่าย เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่รักสันโดษ มองภายนอกเป็นคนสงบนิ่ง ซึ่งต่างจากภายในที่ร้อนเหมือนไฟ
2. แกะ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่ดูอบอุ่นและเชื่อฟังคุณ
3. กวาง เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนบุคลิกดี สง่างามและดูภูมิฐาน
4. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบคนที่รักอิสระเสรีไม่ชอบทำอะไรตามกฏเกณฑ์ และเป็นตัวของตัวเอง
คำถามข้อที่ 2 หากคุณได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมชมเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งในแอฟริกา ขากลับเขาจะให้สัตว์อย่างหนึ่งเพื่อเป็นที่ระลึก คุณจะเลือกตัวอะไร?- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ การจีบแบบใดที่โดนใจคุณมากที่สุด
1. ลิง เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบสร้างสรรค์มีอะไรแปลกใหม่มาให้คุณ ประหลาดใจอยู่เสมอเพราะนั่นจะทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ
2. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบตรงไปตรงมา หากรักก็บอกว่ารักกันไปเลย
3. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบที่ดูโลเลไม่แน่นอน บางครั้งเขาทำเหมือนรักคุณมากมาย แต่บางครั้งก็แกล้งทำเหมือนไม่ใส่ใจคุณเลย เพราะนั่นจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายตลอดเวลา
4. ยีราฟ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณชอบการจีบแบบที่แสดงถึงความอดทน จริงใจและ พร้อมที่จะให้อภัยคุณได้ทุกอย่าง
คำถามข้อที่ 3 ถ้าคุณได้ทำผิดแล้วถูกพระเจ้าลงโทษสาปให้เป็นสัตว์ คุณจะเลือกเป็นตัวอะไร?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ สิ่งใดที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจในตัวเขา
1. สุนัข เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความซื่อสัตย์ ความมั่นคงและจริงใจที่ไม่เคยเปลี่ยน แปลง
2. แมว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความโก้เก๋ ความมีรสนิยมในตัวเขา
3. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ การมองโลกในแง่ดีของเขา
4. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความเป็นคนง่ายๆ สบายๆและไม่เรื่องมากของเขา
คำถามข้อที่ 4 ถ้าคุณมีอำนาจ คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดหายสาบสูญไปจากโลกตลอดกาล?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ สิ่งใดที่คุณทนไม่ได้เลยหากคนรักของคุณทำนิสัยแบบนี้
1. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ การถือตัว หยิ่งยโสและชอบดูถูกคนของเขา
2. งู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขา
3. จระเข้ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ ความก้าวร้าว หยาบกระด้างของเขา
4. ฉลาม เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ อาการขี้ตกกังวลและความไม่มั่นใจในตัวเองของเขา
คำถามข้อที่ 5 คุณอยากจะให้สัตว์ชนิดใดพูดภาษาคนได้มากที่สุด?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณอยากให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรักดำเนินไปแบบไหน
1. แกะ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ สามารถเข้าอกเข้าใจกันได้ และสื่อสารกันด้วยสายตาโดยจำเป็นต้องพูดออกมา และดำเนินความสัมพันธ์ไปเหมือนที่คนรุ่นพ่อแม่เคยปฏิบัติ
2. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ สามารถเปิดอกพูดคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่มีความลับต่อกัน
3. กระต่าย เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ มีสัมพันธภาพที่อบอุ่นและรักกันหวานชื่นตลอดเวลา
4. นก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงยาวนาน เพราะคุณมองไปถึงการสร้างอนาคตร่วมกันด้วย
คำถามข้อที่ 6 หากต้องติดอยู่บนเกาะร้างกลางมหาสมุทร คุณอยากจะให้ใครไปอยู่เป็นเพื่อน?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณมีแนวโน้มแค่ไหน เรื่อง ”การนอกใจ”
1. มนุษย์ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณเป็นคนแคร์สังคมและศีลธรรม คุณจะไม่คิดนอกใจ หลังจากแต่งงานแล้วเด็ดขาด
2. หมู เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณทนต่อการยั่วยุไม่ค่อยได้ ดังนั้นมีแนวโน้มที่คุณจะคิดนอกใจ
3. วัว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณมีความอดทนอดกลั้นดีเยี่ยม คุณพยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
4. นก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณไม่มีความอดทน ดังนั้นมีโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหากมีแรงยั่วยุ
คำถามข้อที่ 7 ถ้ามีเวทมนตร์ คุณอยากจะเสกให้สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์เลี้ยง?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง”การแต่งงาน”
1. ไดโนเสาร์ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณเป็นคนมองโลกแง่ร้าย ไม่อยากแต่งงาน
2. เสือขาว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือคุณคิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าได้แต่งงานคุณจะประคับประคองชีวิตคู่ให้คงไว้ตลอดไป
3. หมีขั้วโลก เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณกลัวการแต่งงานเพราะคิดว่ามันอาจทำให้คุณหมดอิสระ
4. เสือดาว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณอยากแต่งงาน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตคู่เลย
คำถามข้อที่ 8 คุณจะเลือกเป็นตัวอะไรถ้าหากสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้ 5 นาที?
- ความหมายแฝงเป็นนัยๆ ของคำถามข้อนี้คือ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ ”ความรัก”
1. สิงโต เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณมักจะเหนื่อยเสมอในเรื่องของความรักเพราะคุณยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่รักแต่ก็ใช่ว่าคุณจะตกหลุมรักใครง่ายๆ
2. แมว เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณรักตัวเองมากกว่าและคุณก็คิดว่าความรักเป็นแค่อารมณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น
3. ม้า เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือคุณไม่ต้องการจะทุ่มเทอะไรมากมายเพื่อความรัก แต่สิ่งที่คุณทำไปทุกอย่างก็เพราะไม่อยากจะอยู่คนเดียว เพียงลำพังในโลกใบนี้เท่านั้น
4. นกพิราบ เหตุผลทางจิตวิทยาของคำตอบข้อนี้คือ คุณคิดว่าความรักนั้น คือการเปิดใจยอมรับที่จะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน
ทายนิสัยจากรองเท้าที่สวมใส่
ชอบสวมรองเท้าบู้ท
คนที่ชอบสวมรองเท้าทรงบู้ทนี้ อุปนิสัยโดยทั่วไปแล้ว จะเป็นคนที่มีความตั้งใจอันมั่นคงมาก เช่นเมื่อคิดจะทำอะไรสักอย่างก็จะทำให้สำเร็จ โดยไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางหรือหยุดยั้งความตั้งใจของตนได้ นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่มีจิตใจนิยมชมชอบชีวิตที่ได้เสี่ยงภัยแบบหลุดโลกเอามาก ๆ แต่ว่าจะต้องมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น เช่นการเล่นโดดจากที่สูงลงมาตายแล้วสามารถฟื้นคืนชีวิตได้อีก เป็นต้น
ชอบสวมรองเท้าผ้าใบ บุคลิกของคนที่ชอบสวมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้ากีฬานี้ จะเป็นคนที่ดูสบาย ๆ เป็นมิตรน่าคบหา แต่ว่าไม่ใช่คนที่จะสามารถเผชิญหรือต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิตได้อย่างเด็ดเดี่ยวเพราะถนัดการหลีกหนีปัญหามากกว่า นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและจะพยายามทำทุกสิ่งเพื่อการสร้างฐานะ และยกระดับชีวิตของตนให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ จนเหมือนคนที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวเองมาก่อนโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ
ชอบสวมรองเท้าแตะ คนที่ชอบสวมรองเท้าแตะนี้ จะมีนิสัยที่ไม่ค่อยสนใจกรอบ หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ในสังคมเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็เป็นคนชอบการทำงาน และเอาจริงเอาจังทีเดียว ไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวด แต่ว่าก็ไม่ใช่คนถ่อมตัว คือถ้าสิ่งไหนที่ตนมีความสามารถทำได้ ก็จะทำอย่างดี และถ้าทำไม่ได้ก็จะยอมรับโดยไม่กลัวเสียฟอร์ม บุคลิกจะเป็นคนสบาย ๆ อัธยาสัยดี มีเพื่อนฝูงมากเป็นคนชอบตามใจคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะเอาแต่ใจตนเองด้วยเหมือนกัน
ชอบสวมรองเท้าหนังแบบลำลอง รองเท้าหนังแบบลำลองนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นรองเท้าหนังกลับ ซึ่งปกติผู้สวมใส่มักจะใส่ไปเที่ยว หรือไปงานที่ไม่เป็นทางการอะไรนัก ซึ่งสำหรับนิสัยคนที่ชอบใส่รองเท้าแบบนี้ เอามาก ๆ นั้น ก็จะเป็นคนที่ชอบชีวิตแบบสบาย ๆ มีอิสระในตัวเองโดยไม่ต้องขึ้นกับกฏเกณฑ์ของใครทั้งสิ้น ไม่ว่าครอบครัวหรือสังคม เป็นคนชอบตามใจตัวเอง ชอบการจับจ่ายซื้อหาข้าวของที่ชอบ หรือทำในสิ่งที่ตนพอใจ
ชอบสวมรองเท้าหัวแหลมส้นสูง รองเท้าทรงนี้ จะว่าไปแล้วก็คือรองเท้าคัทชูที่สาว ๆ ออฟฟิศใส่ทำงานกันนั่นเอง สำหรับนิสัยของคนที่ชอบใส่รองเท้าทรงนี้ จะเป็นคนที่ชอบการเป็นจุดเด่น การตกเป็นจดสนใจของคน และทำให้คนแรกเจอประทับใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะเป็นคนที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นสักเท่าไรโดยเฉพาะคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเองนอกจากนี้ยังเป็นคนพูดจาเก่งมีคารมคมคายเรียกความสนใจจากคนฟังได้ดี
ชอบสวมรองเท้าหัวแหลมสั้นเตี้ย ลักษณะเหมือนกับรองเท้าคัชชูแบบแรก เพียงแต่ส้นเตี้ยกว่าเท่านั้นเอง ลักษณะนิสัยของคนที่ชอบสวมรองเท้าทรงนี้ จะเป็นคนค่อนข้างเอาจริงเอาจังมาก โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน ซึ่งจะเป็นคนทำงานที่มีแบบแผน รอบคอบและมีเป้าหมาย และจะพยายามทำให้สำเร็จดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความอดทนสูง ขอเพียงรู้ว่าปลายทางนั้น มีสิ่งที่ตนหวังเอาไว้ ก็ไม่ระย่อเลยที่จะเดินไปให้ถึงปลายทาง แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคเพียงใด
ชอบสวมรองเท้าหัวป้านส้นเตี้ย เป็นรองเท้าทรงที่ผู้ชายชอบใส่แต่ผู้หญิงไม่น้อยก็ชอบสวมรองเท้าทรงนี้ สำหรับลักษณะนิสัยของคนที่ชอบสวมรองเท้าแบบนี้ จะเป็นคนที่ใจกว้างให้ความช่วยเหลือคนง่าย แล้วก็ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สามารถไว้ใจได้ เก็บความลับเก่ง เพราะไม่ใช่คนช่างพูดอะไรนัก แต่หนักไปทางชอบลงมือทำทุกสิ่งให้เกิดเป็นรูปร่างขึ้นมาเพื่อแสดงความสามารถของตัวเองมากกว่า.
ทายนิสัยจากการชอบสัตว์
ปลา
ลิง
สุนับ
นกยูง
แมว
ช้าง
ม้า
สิงโต
ปลา คุณเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน เข้าไหนเข้าได้ ส่วนมากมิตรสหายชอบนิสัยในความเป็นคนหัวอ่อน ของคุณ เป็นคนไม่ชอบออกสังคม ไม่ชอบทำเด่น ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว อาจจะดื้อรั้นบ้าง บางเวลา แต่เป็นคนรักความยุติธรรม ซ่อนความรู้สึกเก่ง ไม่ชอบพิธีรีตอง ชอบทำอะไรตามสบาย ทนต่อระเบียบวินัยได้ คุณปรารถนาความรักที่มั่นคงและตั้งอยู่บนกฏเกณฑ์ที่แน่นอน ซื่อสัตย์ต่อความรัก แต่ไม่ตกหลุมรักง่ายๆ ส่วนมากคุณจะถูกรักก่อน
ลิง คุณเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น โดยไม่สิ้นสุด ชอบของใหม่ๆ เคยเป็นคนมีเหลี่ยมสูง เป็นคนที่เสียสละ ถ้ามีความ ปรารถนาจะได้สิ่งใดแล้วต้องได้ จะต้องหาหนทางที่จะเป็นเจ้าของ เป็นที่ไม่มีปัญหา รู้จักทำตัวให้มีชีวิตชีวา ชอบแฟชั่น ชอบแต่งตัวทันสมัยอยู่เสมอ เป็นผู้ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนผู้อื่นเสมอ คุณเป็นคนขยันและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยต่อการงาน ชอบหยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่ผู้อื่น ชอบรู้อะไรล่วงหน้า หากคุณมีความรัก จะไม่รักด้วยใจ จะต้องสงสารก่อน ใช้สมองดีดลูกคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ เป็นผู้ฉลาดในเรื่องรัก เป็นคนมีหลายหน้า จึงดูไม่แก่เร็ว
สุนัข ความสุขของคุณคือ การได้ร่วมรับรู้กับผู้อื่น คือต้องให้ผู้อื่นได้รู้ได้เห็นด้วย ชอบแบ่งความสุขให้คนอื่น ในเรื่องความรักเป็นเรื่องเดียวกับมิตรภาพ คุณมีแนวโน้มจะให้มีขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณลังเลใจในเรื่องบุคลิกภาพของคุณ ไม่แน่ใจว่าอะไรเหมาะกับคนอย่างคุณ คุณเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงและค่อนข้างเจ้าอารมณ์ในบางครั้ง เป็นคนคิดการณ์ไกร เข้าใจโลกและชีวิตเข้าใจผู้อื่น แต่ไม่เข้มแข็งพอ คุณเป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่เนื่องจากเป็นคนอารมณ์รุนแรง และชอบสิ่งที่เป็นอันตราย การเลือกคู่ครองจึงสำคัญมาก เพราะความดิ้นรนอย่างไม่หยุดยั้งของคุณ ไม่เป็นปกติสุข เป็นคนเสียสละและอุทิศตนเพื่อผู้อื่นเสมอ
นกยูง คุณชอบให้คนที่แวดล้อมตัวคุณ พูดถึงคุณในทำนองยกย่องชมเชยเป็นคนต้องการแสดงออก ต้องการเด่นกว่าคนอื่น เรื่องการงานต้องไม่ให้ใครติข้อบกพร่องได้ เป็นคนอวดดีและต้องการให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวคุณเป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก คุณเป็นคนใจอ่อน อ่อนไหวง่าย ใครชักชวนหรือพูดแบบใดก็เป็นไปตามคำชวน มีเพื่อนน้อยคนที่จะรู้นิสัยและความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคุณ เป็นคนลืมตัวในบางครั้ง และไม่ค่อยกล้าสู้กับความจริง มีรสนิยมสูง ชอบให้ผู้อื่นสนใจทุกอย่างในตัวคุณ ชอบให้มีคนมองถ้ารักใครก็ชอบให้มีนิสัยเหมือนๆ กัน จึงหาคู่รักได้ยาก และไม่สมหวังนัก คุณเป็นคนปากหวาน เป็นคนมั่นใจในตัวเอง จึงไม่แคร์ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
แมว เป็นคนที่อารมณ์รุนแรงพอใช้ เวลาสุขก็สุขมาก เวลาทุกข์หรือโกรธแค้น ก็รู้สึกมากจนน่าเกลียด คุณออกจะดูหงุดหงิด โดยหาสาเหตุไม่ได้ในบางครั้ง ชอบเสี่ยงและเล่นกับไฟ เป็นคนดื้อรั้นดันทุรัง ถ้ามีเพื่อนที่แข็งกว่าคุณจะอ่อนให้เขา ถ้าพบคนที่อ่อนกว่าจะข่ม แต่โดยเหตุที่คุณมีเสน่ห์ มีความน่าสงสารในบางอย่าง ทุกคนจึงให้อภัย คุณชอบหาเรื่องใส่ตัว อยู่เฉยๆ ไม่ได้ เป็นต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ซึ่งผลที่ได้จะทำให้กลุ้มใจ เป็นคนทันสมัยกับแฟชั่น ชอบเครื่องเพชรพลอย เป็นคนมีเสน่ห์ชอบทำอะไรแปลกๆ ในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ทำ เป็นคนละเอียดอ่อนและไม่แคร์อะไร เท่าไร
ช้าง เป็นคนเงียบสงบ เก็บตัวและสง่าผ่าเผย มีอารมณ์เยือกเย็น เป็นผู้ได้รับความสำเร็จในอนาคต เพราะความเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง มีความซื่อสัตย์ ถ้ามีความรักก็แบบมิตรภาพ คือมีความมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายต่อเหตุการณ์ รักความสันโดษ แต่ก็เข้ากับผู้อื่นได้ดี เป็นคนรู้งานทุกอย่าง ไม่จู้จี้ขี้บ่น มีข้อเสียบางอย่าง คือ ทำงานไม่ค่อยละเอียด อาจจะสะเพร่าในบางครั้งไม่ชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ฟู่ฟ่าแพรวพราวมากไป ชอบของที่เข้มแข็งและทนทาน ชอบงานที่ให้ความมั่นคงแก่ตัวเอง เป็นคนมั่นคงในรัก
ม้า ชอบแสวงหาความสุขอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ชอบสิ่งสวนงามและสูงสง่า มีรสนิยมสูงเอื้อเฟื้อ มีอารมณ์ขัน หนึ่งในอุดมคติทั้งหลาย คือการเสาะแสวงหาความรักแท้ เป็นคนเห็นการณ์ไกรเป็นคนรอบรู้ มีความรักที่ยิ่งใหญ่ ชอบทำงานอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับมากเกินไป ชอบทำงานประเภทติดต่อประชาสัมพันธ์และงานส่วนตัวอื่นๆ เป็นคนแต่งตัวเก่ง ชอบของเก๋ๆ รสนิยมสูงแบบคลาสสิค
สิงโต เป็นนักปกครองเผด็จการ ต้องการให้ผู้อื่นอยู่ใต้อำนาจ คุณกำหนดจุดหมายในชีวิตไว้สูงมาก และพยายามสุดความสามารถที่จะปีนป่ายให้ถึงจุดนั้น จะต้องแสดงตัวเป็นหนึ่งเสมอ ต้องการให้ผู้อื่นนับถือยกย่องในตัวคุณ ชอบที่จะแสดงอำนาจบาทใหญ่ ความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของคุณจะทำให้ผู้อื่นเจ็บตัว ดังนั้น สิ่งที่คุณแสดงออกมาบางอย่าง จึงควรระมัดระวังและรักษาน้ำใจผู้อื่นไว้ให้มาก เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวคุณเองในภายหลัง เป็นคนที่มีความรักรุนแรง โดยมีความปรารถนาที่จะเป็นฝ่ายถูกรัก มีความทะเยอทะยาน มีรสนิยมและความต้องการที่จะทำอะไรให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาและต้องทำให้สิ่งนั้นบรรลุผลสำเร็จ ชอบความโอ่อ่าหรูหราและเอิกเกริก
ทายนิสัยจากสีของเสื้อ
เลือกใส่เสื้อสีแดง
ใครที่เลือกสวมเสื้อสีแดงในวันพิเศษไม่ว่าจะเป็นสีแดงแบบกุหลาบสดใสหรือว่าแดงแบบเปลวเพลิงเร่าร้อน หรือแดงผสมดำนิดๆพให้ดูปราดเปรียวมีเสน่ห์หมายถึงว่าเป็นผู้ที่อยากจะให้ใคร(คนนั้น)รู้ว่าฉันน่ะเป็นคนมีชีวิตชีวาปราดเปรียว คล่องแคล่ว ใครอยู่กับฉันจะไม่มีวันเบื่อแน่นอนเพราะชีวิตเราจะพบแต่ความตื่นเต้นเร้าใจอยู่ตลอดเวลา ไม่เชื่อมาลองรักกันดูสิ!นอกจากนี้ยังบอกถึงนิสัยที่ชอบความหวือหวา ไม่อยู่นิ่งของคนสวมได้เป็นอย่างดี
เลือกใส่เสื้อสีน้ำเงิน
แต่ถ้าใครเลือกสวมเสื้อสีน้ำเงินหรือชุดที่มีสีน้ำเงินประกอบด้วยแสดงว่าเป็นคนที่ปรารถนาให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าฉันนะเหรอเป็นคนเยือกเย็นนะมีความรับผิดชอบสูง ดูแลตัวเองได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะอย่าเพิ่งคิดว่าฉันจะเป็นคนชาเย็นหรือแข็งกร้าว เพราะในใจลึกๆแล้วฉันเหงาง่ายจะตายไปรู้มั้ย ฉันแอบคิดเสมอล่ะว่า อยากมีคนรักที่อบอุ่นเป็นที่พึ่งพิงได้ในยามอ่อนล้าว้าเหว่และ...รักฉันอย่างลึกซึ้งข้อสำคัญต้องไม่เบื่อหน่ายที่จะค้นหาความรู้สึกลึกๆในหัวใจฉันด้วย
เลือกใส่เสื้อสีม่วง
ไม่ว่าจะเป็นสีม่วงเฉดไหนม่วงอ่อนแบบดอกไม้หวานๆหรืองว่าม่วงเข้มที่ดูโสกเศร้าแต่เข้มแข็งก็ตามทีนั่นล่ะหัวใจเธอพูดอยู่เสมอๆว่า ฉันเป็นคนอ่อนไหวมากเลยนะรู้มั้ยแม้ว่าบางทีจะดูเข้มแข็งในสายตาคนอื่นแต่จริงๆแล้วฉันร้องไห้ง่ายมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ใครๆก็คิดว่าไม่น่าจะต้องเสียน้ำตาเลยและขณะเดียวกันฉันเป็นคนจำเก่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจ
เลือกใส่เสื้อสีชมพู
ส่วนใครที่ต้องเลือกสวมชุดสีชมพูหวานแหววอาจจะมีริ้วระบายติดลูกไม้นิดๆหรือมีลักษณะดีไซน์ที่อ่อนหวานแสดงว่าหัวใจพูดว่าฉันชอบความอ่อนโยนโดยเฉพาะความอ่อนโยนจากคนรัก ฉันชอบการถูกเอาใจ ดูแล ทะนุถนอมและเอื้ออาทรเหมือนฉันเป็นเด็กเล็กๆคนหนึ่ง ฉันอยากให้ใครๆเอาใจฉันเหมือนฉันเป็นนางฟ้าองค์น้อยๆที่ทุกคนจะต้องรักและปกป้องฉันจากโลกที่โหดร้ายและน่ากลัว
เลือกใส่เสื้อสีขาว
แต่ถ้าเลือกใส่เสื้อสีขาวสะอาดล่ะก็...ฉันเป็นคนเรียบร้อยนะแต่ก็จริงจังในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปถึงเรื่องความรักและหัวใจนชอบการมีคู่รักที่ตรงตามมาตรฐานส่วนตัวคือต้องสะอาด เปิดเผย อบอุ่นมีรสนิยมดีและพร้อมแชร์ชีวิตด้วยกันอย่างมั่นคงอีกอย่างหนึ่งก็คือฉันต้องการมิตรภาพที่บริสุทธิ์ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนนาน กับความรักที่ลงตัวในทุกๆด้าน
เลือกใส่เสื้อสีดำ
แต่ถ้าใครโปรดปรานที่จะสวมชุดสีดำสนิทแทนสีอื่นๆแล้วล่ะก้อ หมายถึงส่วนลึกในใจเอื้อนเอ่ย (อยากให้เขารู้)ว่าสำหรับฉัน ชอบการเป็นคนเจ้าเสน่ห์ ลึกลับมีสิ่งน่าพิศวงที่อยากให้คุณเท่านั้นค้นหา ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมบางทีฉันถึงเป็นคนเงียบขรึม ดุจริงจัง ดูซีเรียส แต่ชอบการเอาชนะทั้งที่จริงๆแล้วฉันยอมแพ้คุณทุกทีในที่สุด ฉันชอบการที่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์และถูกคุณคลั่งไคล้ไงล่ะ...
เลือกใส่เสื้อที่มีลวดลายหลากสี
แต่ถ้าใครเลือกเสื้อที่มีลวดลายหลากสีซึ่งไม่จำเพราะเจาะจงเน้นหนักไปทางสีใดสีหนึ่งก็หมาย ว่าฉันเป็นคนหลากหลายจ้ะ สไตล์ของฉันไม่มีหยุดนิ่งแน่นอน แต่ถึงจะดูปราดเปรียวยังไงฉันก็เป็นคนมั่นคงทางความรักนะจะบอกให้ถึงแม้จะมีบางครั้งที่แอบไปชอบคนอื่นบ้างแว๊บๆแต่ก็แค่นั้นล่ะไม่มีทางที่จะให้คนอื่นมาเบียดคุณออกไปจากในห้องใจว่าแต่ว่าคุณน่ะเป็นเหมือนฉันรึเปล่า
เลือกใส่เสื้อสีเขียวสะท้อนแสง
แต่ถ้าเลือกสวมเสื้อสีนี้ ซึ่งโดดเด่นมากกกก..แสดงว่าใครคนนี้เป็นคนร่าเริงสดใสมั่นใจในตัวเองล่ะก้อ...อืมม์ เป็นคนสนุกสนานนะเรื่องตื่นเต้นๆชวนลุ้นล่ะก้อ โอเคเลย ชอบ....ขอแค่ไม่เสี่ยงอันตรายละกันส่วนเรื่องความรักเหรอ ชอบให้ตัวเองสะดุดตาจนคุณสะดุดใจไงและถ้าฉันสะดุดใจคุณบ้างล่ะก็ เตรียมรับมือความร่าเริงสดใสได้เลย
ทายนิสัยจากอาชีพที่ใฝ่ฝัน
หมอ พยาบาล
อาชีพแม่พระเลยนะเนี่ย เสียสละ ชอบช่วยเหลือ ใจดี มีเมตตา ทั้งกับคนใกล้และคนไกลตัว จุดอ่อนของสาวคนนี้อยู่ตรงที่มักใจอ่อนทั้งกับมิตรและศัตรูอาจถูกคนเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบได้ระวังหน่อยนะจ๊ะ
ทหาร ตำรวจ
อดทน เข็มแข็ง บึกบึน เาแต่ใจตัวเอง บางทีก็ก้าวร้าว เผด็จการ ชอบทำตัวเป็นผู้นำเป็นตัวของตัวเอง เจ้าระเบียบ ไม่ชอบทำตัวนอกลู่นอกทางแต่ถ้าทุกนิสัยที่แสดงออกอยู่ในความพอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไปจะทำให้เธอเป็นที่รักของคนรอบข้างไม่น้อยเลยละ
นักธุรกิจ สาวแบงก์
แคล่วคล่อง ว่องไว มีหัวทางการค้า ชอบเรื่องเงินๆทองๆ ชอบเสี่ยงและยังชอบพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา จึงค่อนข้างมีเพื่อนเยอะ มนุษยสัมพันธ์ดี คุยเก่งเฮฮา อารมณ์ดี แต่มีบางครั้งที่ซีเรียส พยายามควบคุมอารมณ์หน่อยนะจ๊ะ แม่หัวการค้า สาวนักโฆษณา และประชาสัมพันธ์จัดว่าเป็นสาวคล่องอีกคน แต่สำหรับเธอคนนี้จะมีคนด้านครีเอทพ่วงท้ายมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง อารมณ์ดี ชอบเรื่องแฟชั่น ทันสมัย ไหวพริบดีทันคน มีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับทุกคน ชอบงานพบปะสังสรรค์จึงไม่แปลกเลยที่เธอมักจะมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ เพอร์เฟคจังเลยนะแม่ Lady ปี 2000
ศิลปิน
เจ้าแม่วงการมาแล้วครับทั่น สำหรับสาวคนนี้มีอารมณ์ศิลปะ ช่างเพ้อฝัน อ่อนไหวง่ายโรแมนติก ชอบทำตัวเด่นเป็นที่มีชื่อเสียง แต่ถ้าได้อยู่ใกล้แล้วจะรู้ว่าส่วนลึกเธอเป็นคนขึ้เหงา แต่จะเหงาแบบไม่เครียด เพราะเธอจะชอบสรรหาอะไรแปลกๆมาpresent ให้คนรอบข้างได้เซอร์ไพรส์บ่อยๆ
วิศกรนักออกแบบ
นักคำนวนคนนี้ นิสัยค่อนข้างเจ้าระเบียบ ทำอะไรชอบวางแผนหรือออก survey ล่วงหน้ามีความคิดสร้างสรรค์ เก่งด้านตัวเลข บวก ลบ คูณ หาร บอกมาเหอะหล่อนคำนวนแป๊ปเดียวก็เห็นผลลัพธ์ จึงฉลาดมีไหวพริบดีและทันคน แต่ส่วนที่ไม่ค่อยwork สำหรับเธอก็ตรงที่เวลาทำอะไรมักซีเรียสแต่ซีเรียสเอาจริงเอาจังเรื่องานมากกว่าเรื่องทั่วๆไป
แอร์โฮสเตสแม่นางฟ้าติดปีก
ชอบงานด้านบริการอย่างนี้ ลักษระนิสัยค่อนข้างช่างเม้าท์ ติดหรูการแต่งตัวต้องเริ่ดหรูทุกระเบียดนิ้ว รักสวยรักงาม เป็นมิตรกับทุกคน ชอบการเดินทางชอบค้นหาอะไรแปลกใหม่ให้ตัวเองอยู่เสมอ แล้วลึกๆแล้วก็แอบขี้เหงากะเขาเหมือนกันแหละ
เกมส์จิตวิทยา คุณเป็นคนแบบไหน
รู้ว่าเคยเล่นกันหรือยังอะค่ะ.....พอดีเปิดดูในเน็ต...แล้วเจอพอดี..เลยเอามาให้ลองทายกันเล่น ๆ นะ.....หุหุหุ.......ก็แม่นบ้างไม่แม่นบ้างเป็นธรรมดา....แหะๆๆๆ.....อย่างเพิ่งอ่านเฉลยกันนะ....
คำถาม
1. คุณกำลังเดินไปตามทางเดิน แล้วเห็นอะไรอยู่รอบตัว
ก. ป่าทึบ มองขึ้นข้างบนแทบไม่เห็นท้องฟ้า
ข. ทุ่งข้าวโพดเหลืองอร่ามตัดกับสีขอบฟ้า
ค. เนินเขาสีเขียว เห็นภูเขาอยู่ลืบๆ
2. คุณเห็นอะไรตกอยู่ข้างๆ เท้า
ก. กระจก
ข. แหวน
ค. ขวด
3. เก็บมันขึ้นมาไหม
ก. เก็บ
ข. ไม่เก็บ
4. เดินต่อไปเจอแหล่งน้ำ แหล่งน้ำที่ว่าคือ
ก. ทะเลสาบใส
ข. น้ำตก
ค. ลำธาร
5. มีกุญแจที่จมอยู่ในน้ำซึ่งคุณกำลังจะเก็บขึ้นมานั้นมีลักษณะอย่างไร
ก. กุญแจบ้าน
ข. กุญแจโบราณ
ค. กุญแจล็อคเกอร์เล็กๆ
6. ต่อมาเจอะบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแบบไหน
ก. แมนชั่นหรูแบบละแวกฮอลลีวู้ด
ข. กระท่อมพร้อมสนามหญ้า
ค. ปราสาทสวยโทรมๆ
7. แล้วทำยังไงต่อ
ก. มองเข้าไปทางหน้าต่าง
ข. เข้าไปสำรวจ
ค. ไม่สน… แล้วเดินต่อไป
8. ทันใดนั้นก็มีบางอย่างกระโจนใส่ ทำให้คุณตกใจ สิ่งนั้นคือ
ก. หมี
ข. พ่อมด
ค. เหยื่อที่ใช้ตกปลา
9. ด้วยความตกใจคุณจึงวิ่งไปจนถึงกำแพงมีประตูคุณจึงมองลอดรูกุญแจก็เลยเห็น
ก. สวนเขียวขจีในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง
ข. บ่อน้ำกลางทะเลทราย
ค. ชายหาดและเกลียวคลื่น
ก. คนอื่นมองว่าคุณเป็นคนที่น่าสนใจเพราะคุณปกปิดตัวตนที่แท้จริงเพื่อนๆรักคุณเพราะคุณเป็นนักฟังที่ดี
ข. เป็นคนฉลาด ซื่อสัตย์และน่ารักเป็นมิตรกับทุกคนและไม่ค่อยมีเรื่องกับใครแถมยังเป็นตัวแทนของความร่าเริง สนุกสนาน ใครๆจึงมักจะเข้ามาพูดคุยด้วย
ค. เป็นคนติดดิน และผู้คนเขาก็รักคุณเพราะนิสัยเป็นคนตรงๆ นี่แหละคุณคือนักไกล่เกลี่ยปัญหาเพราะคุณจะรับฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินว่าใครถูกใครผิด
คำถามที่ 2 ลักษณะของคู่รักที่คุณมองหา
ก. แฟนคุณต้องเป็นคนที่จะร่วมชีวิตกันในอนาคต แต่คุณควรเปิดใจให้กว้างเพราะเขา/เธอที่สมบูรณ์ตามแบบของคุณ อาจไม่ค่อยมีเสน่ห ์มากนัก
ข.คุณป็นคนโรแมนติกยามรักก็จะทุ่มเทเพื่อถนอมรักไว้ให้ดีที่สุดเพราะคุณเชื่อว่ารักแท้จะคงอยู่ตลอดกาลและคุณก็อยากให้แฟนห่วงใยดูแลคุณเสมอ
ค. คุณชอบคนที่กล้าแสดงความเก่ง ทะเยอทะยาน และ จริงจัง ฉะนั้นพวกหล่อ/สวยอย่างเดียวน่ะไม่ผ่าน
คำถามที่ 3 ความพร้อมที่จะผูกมัดกับใครซักคน
ก. ถ้าใช่ก็ได้เลย
ข. ดูใจกันไปเรื่อยดีกว่า
คำถามที่ 4 รักคุณซึมลึกขนาดไหน
ก. คุณจริงจังกับความสัมพันธ์เอามากๆ ถ้าพบคนที่ใช่คุณก็จะรักเขา/เธอคนั้นสุดหัวใจ
ข. เพศตรงข้ามคิดว่าคุณเซ็กซี่มากเพราะคุณหว่านเสน่ห์เก่งชาย/หญิงหลายขโยงจึงพากัน หลงใหลคุณ
ค. ทักษะการจีบของคุณเป็นเลิศ คุณจึงเปลี่ยนคู่ควงได้ไม่ซ้ำหน้า
คำถามที่ 5 ความสำคัญของการศึกษา
ก. การศึกษาสำคัญน้อยกว่าโลกภายนอกที่รออยู่เบื้องหน้าลึกๆแล้วคุณอาจจะอยากเริ่มทำงานและออกมาอยู่เอง
ข. การศึกษาสำคัญที่สุดคุณอยากเรียนหนักๆ จะได้ซึมซับความรู้ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ค. คุณอาจจะไม่ชอบเรียน แต่มีความคิดดีๆมากมายคุณเชื่อสัตชาตญาณและสมองของตัวเองฉะนั้นคุณอาจลงเอยด้วย อาชีพที่ไม่เหมือนใคร
คำถามที่ 6 งานเหมาะๆ
ก. คุณมีเป้าหมายเยอะและพยายามทำทุกอย่างสุดๆงานที่ชอบจึงต้องเป็นงานที่ได้แสดงพลังคุณปรารถนาความสำเร็จอย่างที่สุด
ข. คุณยึดหลักความเป็นจริงในการเลือกอาชีพและมุ่งมั่นจะเติบโตในสายงานที่คุณเลือก
ค. อาชีพที่คุณฝันไว้เป็นไปได้ยากในชีวิตจริงน่าจะมองๆหาอะไรใกล้ตัวทำไปก่อนดีกว่าไม่งั้นอาจเศร้า
คำถามที่ 7 ความสำเร็จมีความหมายแค่ไหน
ก. คุณกลัวล้มเหลวเลยไม่กล้าเริ่มต้นจงอย่าเพิ่งยอมแพ้เสียตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ
ข. คุณมั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ เพราะจะไม่มีสิ่งไหนมากั้นขวางคุณได้
ค. ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องใหญ่คุณพอใจในสิ่งที่มีอยู่และชอบที่จะอยู่กับคนที่คุณรักมากกว่าจะทุ่มชีวิตไปกับการงานหรือดำรงตำแหน่งสูง
คำถามที่ 8 คุณกลัวอะไรมากที่สุด
ก. คุณกลัวที่จะไม่มีใครให้พึ่ง หรือกลัวเลี้ยงตัวเองไม่ได้
ข. คุณกลัวในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนคุณก็เลยใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปบ้าง
ค. คุณเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่นเอามากๆ จึงพยายามสุดชีวิตที่จะได้รับการยอมรับจากผู้คนคุณต้องเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองบ้างแล้ว
คำถามที่ 9 ตัวตนของคุณคือ…
ก. คุณเป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่าน ซื่อสัตย์ กล้าแสดงความเห็นผู้คนจึงมาขอคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ แต่คุณอาจแย่ถ้าเจอปัญหาที่ต้องใช้หัวใจมิใช่สมอง
ข. คุณต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะชอบอยู่กับความคิดของตัวเองและมักจะแว่บหายยามเข้าตาจนแต่คุณจะรู้สึกดีขึ้นถ้าระบายกับคนที่คุณไว้ใจซะบ้าง
ค. คุณเป็นคนที่เต็มที่กับชีวิตและกล้าแสดงออก แต่เดาอารมณ์ยากและเปลี่ยนความคิดได้เรื่อยๆ บางครั้ง คุณก็เหมือนมหาสมุทร…สงบได้…แต่ไม่นาน
ทายนิสัยจากการกินไอติม
ทายนิสัยจากการใส่แหวน
นิ้วก้อย
ทายนิสัยจากการเปลื้องผ้า
สังเกตกันบ้างไหมว่าเราถอดเสื้อผ้ากันแบบไหน ลองมาดูซิ ว่าคนเป็นแบบไหน!
ทายใจจาก “การพับตั๋วรถเมล์”
ไปรษณีย์บอกอนาคต
บ่ายวันเสาร์ ขณะที่คุณนอนเอกเขนกอยู่ในบ้าน ทันใดนั้นเองเสียงกระดิ่งหน้าประตูก็ปลุกคุณจากภวังค์ เมื่อคุณลุกไปเปิดประตูคุณก็ต้องประหลาดใจ ที่ได้พบกับสัตว์ 2 ตัวซึ่งนำสารเกี่ยวกับอนาคตของคุณมามอบให้คุณตัวล่ะฉบับ คุณเปิดอ่านและพบว่าทั้ง 2 ฉบับ มีคำทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณในอนาคตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คำทำนายของสัตว์ตัวหนึ่งบอกว่าคุณจะมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความสมหวัง ในขณะที่สัตว์อีกตัวหนึ่งกลับนำคำทำนายที่กล่าวถึงแต่ความหายนะและความสิ้นหวังมาให้ สัตว์ใดที่นำข่าวดีและสัตว์ใดนำข่าวร้ายมาให้?? เลือกสัตว์ต่างชนิดกันสำหรับคำตอบทั้งสอง จากสัตว์ทั้ง 5 นี้
1. เสือ
2. สุนัข
3. แกะ
4. นกแก้ว
5. เต่า
ความหมาย : ไปรษณีย์บอกอนาคต คนส่วนใหญ่มองว่าการเลือกคู่ครองมีผลต่างอนาคตเป็นอย่างมาก สัตว์ที่นำสารมาให้ในสถานการณ์นี้สัมพันธ์กับประเภทของคนที่คุณคิดว่าจะนำมาซึ่งความสุขและความทุกข์ให้กับคุณ สัตว์ต่าง ๆ มีความหมายทางจิตวิทยาอันหลากหลายและซับซ้อน มีคุณสมบัติและความสัมพันธ์ต่าง ๆ กันทั้งในแง่บวก และแง่ลบ ในเกมนี้สัตว์ที่คุณคิดว่าเป็นผู้นำข่าวคราวแห่งความสุขมาให้ แสดงถึงลักษณะของคนที่เป็นคู่ครองในอุดมคติของคุณ ในขณะที่สัตว์ที่นำข่าวร้ายมาให้ แสดงถึงประเภทของคู่ครองที่คุณกลัวว่าจะดึงคุณลงสู่ก้นเหว
1. เสือ
นำข่าวดี : คุณคิดว่าชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุดหากคุณได้คู่ครองที่ทะเยอทะยาน เปี่ยมไปด้วยอำนาจ และต้องการที่จะเป็นผู้บัญชาการทุกอย่างในครอบครัว
นำข่าวร้าย : คุณกลัวจะได้คู่ครองที่หลงตัวเอง กดขี่คนอื่น ชอบวางโตและโวยวายทุกครั้งที่พูดที่การช่วยงานบ้าน
2. สุนัข
นำข่าวดี : สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดจากคู่ครองของคุณก็คือ ความจงรักภักดี การทุ่มเทเอาใจใส่ และพร้อมจะอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคุณ
นำข่าวร้าย : คุณไม่สามารถเข้ากับคนที่พยายามเอาอกเอาใจคนทุกคนและกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเอง
3. แกะ
นำข่าวดี : คุณคิดว่าคุณจะพบความสุขกับคู่ครองที่อ่อนโยนและคอยดูแลเอาใจใส่คุณอยู่เสมอ
นำข่าวร้าย : คุณกลัวว่าตัวเองจะประสาทเสียหากต้องทนอยู่กับผู้ชายติดบ้านแสนน่าเบื่อที่ชอบทำอะไรซ้ำซากเหมือนเดิมทุกวัน
4. นกแก้ว
นำข่าวดี : คงไม่มีใครที่จะเหมาะกับคุณมากไปกว่าคู่ครองที่รักสนุก ช่างพูด และรู้ว่าจะทำให้คุณหัวเราะอยู่เสมอได้อย่างไร
นำข่าวร้าย : สำหรับคุณไม่มีใครจะแย่ไปกว่าคนขี้เกียจสันหลังยาวที่เป็นโรคแพ้งานขั้นรุนแรง แถมยังชอบเอาแต่พล่ามไร้สาระไปวัน ๆ
5. เต่า
นำข่าวดี : คู่ที่ฟ้ากำหนดมาให้คุณเป็นคนจริงจัง พึ่งพาได้และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณเมื่อคุณต้องการเสมอ
นำข่าวร้าย : สำหรับคุณ แค่คิดถึงการใช้ชีวิตร่วมกับคนที่เฉื่อยชาและสมองช้าก็เป็นฝันร้ายที่สุดแล้ว
ที่มา : http://medinfo.psu.ac.th/pr/WebBoard/readboard.php?id=357
21 กรกฎาคม 2552
โรคบุคลิกภาพผิดปกติ(Personality Disorders)
โรคบุคลิกภาพผิดปกติ(Personality Disorders) นพ.พนม เกตุมาน
คำจำกัดความ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับบุคลิกภาพ ซึ่งจะแสดงออกเป็นพฤติกรรม ไม่เหมาะสมใน การคิด การตอบสนองทางอารมณ์ การแก้ไขปัญหา และการดำเนินชีวิต
อาการ
1. ไม่ปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น เรียกร้องให้ผู้อื่นปรับตัว
2. เอาแต่ใจตนเอง
3. ไม่รู้สึกว่าตนเองมีปัญหา คิดว่าคนอื่นมีปัญหา
4. ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
5. มีปัญหาทางอารมณ์ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวไม่ดี
บุคลิกภาพผิดปกติประเภทต่างๆ
1.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหวาดระแวง
2.บุคลิกภาพผิดปกติแบบแยกตัว
3.บุคลิกภาพผิดปกติแบบแปลกแยก
4.บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (แบบอันธพาล)
5.บุคลิกภาพผิดปกติแบบฮิสทีเรีย
6.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลงตัวเอง
7.บุคลิกภาพผิดปกติแบบพึ่งพิงผู้อื่น
8.บุคลิกภาพผิดปกติแบบย้ำคิดย้ำทำ
9.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลบเลี่ยงปัญหา
10.บุคลิกภาพผิดปกติแบบไม่มีวุฒิภาวะ(เด็กไม่โต)
11.บุคลิกภาพผิดปกติแบบผสม
12.บุคลิกภาพผิดปกติแบบไม่อาจจัดกลุ่มได้
สาเหตุของโรคบุคลิกภาพผิดปกติ
1. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง
2. การเผชิญปัญหาในชีวิตที่ทำให้การเรียนรู้ผิดไปจากเด็กทั่วไป
3. ปัจจัยทางพันธุกรรม
4. การเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม โรงเรียน และเพื่อน
การรักษา การรักษาไม่ได้ผล รักษาไม่ได้ควรป้องกันจะดีกว่ามาก
การป้องกัน
1. การเลี้ยงดูถูกต้องตั้งแต่เดิกจนถึง อายุ 18 ปี
2. การจัดสิ่งแวดล้อมที่ดี เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น
โรคประสาท(Neurosis)
ความย้ำคิดเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองโดยไม่ต้องการ ความย้ำทำเป็นการกระทำซ้ำๆ ที่ผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะต้องทำแม้ว่าจะดูโง่ๆ ก็ตาม ที่เหมือนโรคประสาทกลัวคือโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำมักเริ่มในช่วงต้นๆ ของวัยผู้ใหญ่แต่ที่ต่างจากโรคประสาทกลัวคือมันพบได้เท่าๆ กันทั้งหญิง และชาย ปัญหานี้มักเกิดในคนที่พิถีพิถันเจ้าระเบียบตลอดเวลาแต่ก็ไม่แน่เสมอไป ความย้ำคิดถึงการกระทำที่เป็นอันตรายมักไม่มีเหตุผล น้อยรายมากที่ผู้ป่วยจะทำตามความคิดนั้น
3.บ่อยครั้งมากที่ผู้ป่วยโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำดึงเอาคนในครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ แม่บ้านคนหนึ่งกลัวเชื้อวัณโรคมากจนไม่กล้ากวาดบ้านปล่อยให้ฝุ่นเกาะพื้น เพราะเธอคิดว่าในฝุ่นมีเชื้อโรค และขังลูกให้เล่นอยู่แต่ในคอกทั้งวันไม่ยอมให้คลานไปทั่วบ้านหรือตามทางเดิน
โรคประสาทย้ำคิดย้ำทำชนิดที่พบได้บ่อยเป็นความย้ำทำเชื่องช้า ผู้ป่วยใช้เวลาในการทำอะไรๆ นานมาก ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการแต่งตัว ต้องโกนหนวดล่วงหน้าเป็นวันๆ ใช้เวลาในการอาบน้ำนานมาก ความเชื่องช้าเกิดขึ้นกับกิจกรรมประจำวันทุกชนิด
โรคย้ำคิดย้ำทำอีกแบบหนึ่ง คือความย้ำทำเก็บของ อาจเกิดร่วมกับพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำชนิดอื่นได้ ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สามารถทิ้งของได้ จะใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการคุ้ยขยะจากการเตรียมอาหารก่อนทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอทิ้งอาหารที่ยังมีประโยชน์ไป กระดาษเก่าๆ เป็นสิบปีก็ยังเก็บไว้จนไม่มีที่จะเดิน อาจซื้ออาหาร เครื่องกระป๋อง และของอื่นๆ จำนวนมากมาตุนไว้โดยไม่จำเป็น และไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะขาดตลาด ถ้ามีใครมาพยายามเอาของที่สะสมไว้มาหลายยุคหลายสมัยนี้ออกไปจะเกิดความวิตกกังวลมาก
พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับตัวเลขพบได้บ่อยมาก แต่มักจะไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก ผู้ป่วยอาจนับจำนวนตัวอักษรในคำพูดทุกคำเวลาที่คุยกับคนอื่น บางคนคอยนับตัวอักษรบนป้ายบอกทางทุกอัน
มักเกิดร่วมกับความย้ำทำล้างและพฤติกรรมย้ำติดย้ำทำชนิดหลีกเลี่ยง ผู้ป่วยอาจรู้สึกสกปรกทุกครั้งที่ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ หรือหลังจากเข้าไปใกล้สุนัข และต้องล้าง หรืออาบน้ำเป็นชั่วโมงหลังจากนั้น บางรายมีพฤติกรรมย้ำติดย้ำทำที่ซับซ้อนในการซักเสื้อผ้า ล้างห้อง คนที่รู้สึกว่าสุนัขสกปรก อาจหมดเวลาไปกับการหลีกเลี่ยงสุนัข ขนสุนัข หรือแม้กระทั่งตึกที่เคยมีสุนัขอยู่ ความกลัวแบบย้ำคิดไม่ใช่ความกลัวสิ่งนั้นตรงๆ แต่จะกลัวผลที่จินตนาการไปว่าจะเกิดจากมันมากกว่า
โดยทั่วไปจะถือว่าป่วยเป็นโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ เมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำนั้นเป็นมากจนทำให้เกิดปัญหาหนึ่งใน 3 อย่างต่อไปนี้
1.อาการเป็นมากเลิกคิดเลิกทำไม่ได้จนทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก
สมองเสื่อม โรคสมองเสื่อม (DEMENTIA)
เคล็ด 50 อย่างในการช่วยเด็กสมาธิสั้น (ADD) ในห้องเรียน
--------------------------------------------------------------------------------
ADD ย่อมาจากคำว่า attention deficit disorder หมายถึงโรคสมาธิสั้น
ครูอาจารย์รู้หลายอย่างที่แพทย์ไม่รู้ นั่นก็คือ อาการของ ADD ปรากฎ ได้หลายแบบมาก ซ้ำยังเกิด ร่วมกับ ความผิดปกติอื่นๆ อีก เช่น learning disabilities หรือปัญหา ทางอารมณ์ ราวกับว่า ปัญหาของ ADD เปลี่ยนตาม สภาพอากาศ ไม่แน่นอน คาดการณ์ไม่ได้ แม้วิธีการรักษา ADD จะมี ปรากฎ ในหนังสือ มากมาย แต่ก็ยังคง เป็นงานยาก และหนัก กับผู้ปฏิบัติเสมอ ไม่มีทางออกง่ายๆ สำหรับ การแก้ปัญหา ของ ADD ในห้องเรียน หรือที่บ้าน ความสำเร็จ ของการรักษา ในโรงเรียน ขึ้นอยู่กับ ความรู้ และความหนักแน่น สม่ำเสมอ ของครู และโรงเรียน เป็นอย่างมาก
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดบางประการในการช่วยเด็ก ADD ในโรงเรียน โดยมุ่งให้ครูอาจารย์ช่วยเด็กได้ ในทุกวัย แต่ครูอาจเห็นว่า บางข้อเหมาะสำหรับเด็กบางวัยมากกว่า อย่างไรก็ตาม หลักการเรื่อง การมีกรอบ, การให้ความรู้ และการชักจูงสนับสนุน ยังคงเป็น แนวคิดหลักเสมอ
1) ข้อแรกคือ ท่านต้องมั่นใจว่าท่านกำลังช่วยเด็ก ADD มิใช่เป็นปัญหาของการได้ยิน การมองเห็น
2) หาผู้สนับสนุนท่านคือโรงเรียนและผู้ปกครอง การมีเด็ก ADD อยู่ในชั้น 2-3 คนก็เป็นเรื่องเหนื่อย มากอยู่แล้ว หาผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาได้ เช่น นักการศึกษาพิเศษ จิตแพทย์เด็ก นักจิตวิทยาประจำ โรงเรียน หรือกุมารแพทย์ หาความร่วมมือจากผู้ปกครอง และหาเพื่อนครูมาช่วย
3) จงรู้จักข้อจำกัดของตนเอง อย่ากลัวที่จะขอความร่วมมือ ครูคงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ADD
4) ถามเด็กว่าจะให้ช่วยอย่างไร เด็กเหล่านี้มักบอกได้ว่า อยากให้ท่านช่วยอย่างไรเมื่อถูกถาม อย่า อายที่จะถามเด็ก พยายามหาเวลาคุยกับเด็กตามลำพังและถามเขา คนที่ตอบได้ดีที่สุดเสมอคือตัว เด็กเอง ซึ่งเรามักละเลยมองข้ามไม่ถามจากเขา ในเด็กโตควรช่วยให้เด็กเข้าใจด้วยว่า ADD คือ อะไร ซึ่งจะช่วยท่านได้มาก
5) ระลึกเสมอว่า การมีกรอบจะช่วยเด็ก ADD กรอบคือสิ่งรอบตัวที่ช่วยควบคุมตัวเขา เพราะเขาคุม ตน เองไม่ได้ การมีตารางเวลาหรือรายการสิ่งที่ต้องทำช่วยเด็ก ADD ที่หลงออกไปกลับเข้ากรอบได้ พวกเขาต้องการสิ่งเตือน ต้องการการแนะ ต้องการการย้ำ ต้องการคำสั่ง ต้องการคนให้ ขีดจำกัด และต้องการกรอบที่ชัดเจนแน่นอน
6) อย่าลืมการเรียนกับความรู้สึก เด็กเหล่านี้ต้องการห้องเรียนที่สนุก รู้สึกว่าเขาทำได้ ไม่ใช่ล้มเหลว ต้องการความตื่นเต้นมากกว่าความเบื่อหรือความกลัว ควรให้ความสนใจกับเรื่องความรู้สึกคู่ไป กับการเรียนเสมอ
7) ให้เด็กเขียนกฎ ข้อตกลง แล้วติดในที่ที่มองเห็นได้ เป็นการแสดงให้เขารู้ว่า เขาควรทำอะไรบ้าง
8) ย้ำคำสั่ง เขียน พูดคำสั่งหลายๆครั้ง คนที่เป็น ADD ต้องการให้คนพูดย้ำหลายๆครั้ง
9) พยายามสบตาเด็กบ่อยๆ ซึ่งจะเป็นวิธีดึงเด็กกลับมาจากความคิดว่อกแว่ก ทั้งเป็นการให้ขั้นตอน เด็กว่าถามได้ หรือแสดงว่าท่านสนใจเขาอยู่
10) ให้เด็กนั่งใกล้โต๊ะ หรือที่ที่ท่านยืนอยู่มากที่สุด
11) ให้ขอบเขตและข้อจำกัด โดยวิธีละมุนละม่อม ไม่ใช่ลงโทษ ทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้ง ทันท่วงที และง่ายๆ ไม่ต้องเข้าไปถกเถียงกับเด็กมากมายเหมือนทนายทำในศาล การพูดยิ่งยาวยิ่งไม่ได้ผล
12) ทำตารางเวลาให้สม่ำเสมอที่สุดที่ทำได้ ติดตารางบนโต๊ะเด็กหรือกระดาน ชี้ให้เด็กเห็นบ่อยๆ ถ้า ท่านจะเปลี่ยนตาราง ควรเตือนให้เด็กทราบก่อนหลายครั้ง การเปลี่ยนโดยไม่บอกล่วงหน้าทำให้ เด็กปฏิบัติตัวยากจนเหมือนไม่ร่วมมือ
13) พยายามให้เด็กจัดตารางเวลา หลังเลิกเรียนของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกิดขึ้นมากของเด็ก ADD คือการผลัดผ่อน
14) พยายามลดการทดสอบย่อยๆกับเด็กเหล่านี้ เพราะไม่สามารถวัดความรู้จากเด็ก ADD ด้วยวิธีนี้ ได้
15) ปล่อยให้เด็กมีอิสระบ้าง เช่นให้ออกนอกห้องเป็นครั้งคราว ดีกว่าจำกัดไว้ แล้วเด็กหนีหายไปเลย เขียนไว้เป็นกฎ แล้วให้เด็กหัดควบคุมตนเอง
16) ให้การบ้านที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ เด็ก ADD อาจทำไม่ได้มากเท่าคนอื่น ควรสอนวิธีคิดให้ เด็กในระยะเวลาเรียนเท่าเดิม แต่ไม่ให้งานมากจนเด็กทำไม่ได้
17) ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด และช่วยเตือนให้เด็กอยู่กับร่องกับรอย เขาจะรู้ว่าเขาควรทำอะไร และหากทำตามเป้าหมายได้ จะเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจเด็กอย่างมาก
18) ย่อยงานใหญ่ๆให้เป็นงานย่อยๆ ถือเป็นหัวใจหลักในการที่ครูจะสอนลูกศิษย์ ADD ได้ เด็ก ADD เมื่อเผชิญกับงานใหญ่มากๆ จะท้อก่อนทำว่า “ฉันไม่มีทางทำได้” แต่หากย่อยงานใหญ่มากๆ จะ เป็นงานย่อยๆที่เขารู้สึกทำได้ จะช่วยให้เขามั่นใจขึ้น โดยทั่วไปเด็กมีความสามารถที่จะทำงานได้ มากกว่าที่เขาคิดเองอยู่แล้ว แต่การย่อยงานให้เขาทำ จะช่วยพิสูจน์สิ่งนี้แก่เขา ในเด็กเล็กวิธีช่วย ให้เด็กหงุดหงิดอาละวาดลดลงได้มาก แต่ในเด็กโต ความรู้สึกเป็นคนแพ้จะลดลง ท่านควรทำเช่นนี้เป็นประจำ
19) ทำตัวในรื่นเริง ง่ายๆมีอารมณ์ขัน หาสิ่งแปลกใหม่เรื่อยๆเพื่อทำให้เด็กกระตือรือร้น และคง ความสนใจ เด็กเหล่านี้มีชีวิตชีวา ชอบเล่น เกลียดสิ่งน่าเบื่อ รวมทั้งกฎเกณฑ์ ตาราง รายการ และครูที่น่าเบื่อ ควรแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อ จงลองทำตัว สนุกๆเป็นครั้งคราว จะช่วยได้มาก
20) ป้องกันการเกิดสิ่งเร้าที่มากเกินไป เด็ก ADD เหมือนหม้อตั้งไฟมีโอกาสเดือดล้นได้ตลอดเวลา หากเห็นห้องไม่มีระเบียบ จัดการเสียตั้งแต่ต้น อย่ารอให้เป็นจลาจล
21) หาสิ่งสำเร็จเล็กๆน้อยๆ ในตัวเขาเสมอ เด็กเหล่านี้เคยพบแต่ความล้มเหลว และเขาต้องการคน ให้กำลังใจ แต่อย่าทำจนเกินไป เด็กต้องการและได้ประโยชน์จากคำชม การให้กำลังใจ เหมือน ให้น้ำกับคนกระหาย หากมีน้ำก็รอดและเติบโต หากขาดน้ำมีแต่จะแย่ลง บ่อยครั้งที่ความเสียหายจาก ADD เองไม่รุนแรงเท่าความเสียหายจากความไม่มีความมั่นใจในตนเอง ให้น้ำแต่พอดีแล้วเด็กจะสำเร็จ
22) เด็กเหล่านี้มักมีปัญหาความจำ ช่วยเด็กโดยแนะเคล็ดการช่วยจำ เช่น การย่อ ทำรหัส ผูกเป็น โคลง ทำสัญลักษณ์ หาเสียงคล้ายกัน จะช่วยเด็กได้มาก
23) สอนเด็กในการจำหัวข้อ ขีดเส้นใต้ ซึ่งเด็ก ADD มักไม่ทำ ถือเป็นการช่วยเตือนสติเด็กให้เรียนได้ ขณะกำลังเรียน อยู่จริง ซึ่งสำคัญที่สุกกว่าการให้ไปเรียนพิเศษเพิ่มทีหลัง
24) บอกเด็กก่อนว่าจะพูดถึงเรื่องอะไรต่อไป บอกหัวข้อ แล้วค่อยตามด้วยเนื้อเรื่อง เด็ก ADD มัก เรียนจากการมองเห็นได้มากกว่าการฟัง ท่านอาจพูดไปเขียนไป เหมือนช่วยเติมกาวให้ความจำ
25) ใช้คำสั่งง่ายๆ ให้ทางเลือกง่ายๆ ให้ตารางง่ายๆ ยิ่งง่ายยิ่งเข้าใจได้ดี ใช้ภาษาให้น่าสนใจ เหมือน มีสีสัน จะช่วยดึงความสนใจ
26) เตือนให้เด็กรู้จักสังเกตตนเอง ซึ่งเด็กเหล่านี้มักไม่สามารถติดตามได้ว่าตนเองกำลังคิดหรือทำ อะไร การเตือนควรใช้คำถามที่สร้างสรร เช่น “เมื่อกี้ หนูเพิ่งทำอะไร” “ถ้าให้ลองพูดอีกครั้งหนู จะพูดใหม่ว่าอะไร” “ทำไมหนูถึงว่าเด็กคนนั้นหน้าเสียตอนหนูพูดอย่างนั้น” คำถามเหล่านี้จะ ช่วยให้เขาสังเกตตนเองเป็น
27) ทำสิ่งที่คาดหวังจากเด็กให้ชัดเจน
28) การให้สะสมคะแนนเอารางวัล เป็นส่วนช่วยในการควบคุมพฤติกรรม เด็ก ADD ตอบสนองดีกับ การให้การจูงใจและรางวัล เขาชอบการท้าทาย
29) ถ้าเด็กเข้าใจภาษากาย เช่น ท่าทาง, น้ำเสียง, หรือกาลเทศะ ได้จาก ควรช่วยเด็กให้เข้าสังคม ได้ง่ายขึ้น เช่น สอน “ก่อนที่หนูจะเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง ถามว่าเขาอยากเล่าอะไรก่อน” “มอง หน้าคนอื่นด้วยในเวลาพูด” เด็ก ADD มักถูกมองว่า หยิ่ง เห็นแก่ตัว ซึ่งที่จริงเขาไม่รู้วิธีเข้า สังคม ทักษะพวกนี้แม้ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด แต่ก็สอนได้
30) สอนวิธีการทำข้อสอบให้เด็ก
31) ทำการเรียนให้เหมือนเล่นเกมส์ การสร้างแรงจูงใจช่วย ADD ได้มาก
32) แยกเด็ก ADD ออกจากกัน ไม่ให้เป็นคู่หรือกลุ่ม เพราะมักทำให้เด็กแย่ลง
33) ให้ความสนใจกับการมีส่วนร่วม เด็กเหล่านี้อยากเข้าร่วมและมีปฏิสัมพันธ์ ตราบใดที่เด็กอยู่ใน ภาวะที่มีส่วนร่วม เด็กจะอยากทำและไม่ว่อกแว่ก
34) มอบความรับผิดชอบให้เด็กทำเองเสมอเมื่อเป็นไปได้
35) ลองทำบันทึกจากบ้าน โรงเรียน บ้าน ทุกวัน เพื่อช่วยให้ครูและผู้ปกครองเข้าใจกัน และช่วยให้เด็กได้รับสิ่งที่ต้องการ
36) ลองทำรายงานประจำวัน
37) ช่วยเด็กให้ทำรายงาน และให้เด็กสังเกตตนเอง แล้วพบอาจารย์หลังเลิกเรียนทุกวัน
38) จัดเวลาพักสบายให้เด็กไว้ โดยให้เด็กทราบล่วงหน้าเพื่อเด็กจะได้เตรียมใจ การให้เวลาพักโดย เด็กไม่ได้คาด จะทำให้เด็กตื่นเต้นและถูกกระตุ้นมากเกินไป
39) พึงชมเชย ให้กำลังใจ ยอมรับ ทำให้เด็กรู้สึกมีคุณค่าเสมอ
40) สำหรับเด็กโต ให้เด็กจดคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างฟังไว้ นอกเหนือจากจดสิ่งที่ครูพูดให้ฟัง จะช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น
41) ลายมือเด็กเหล่านี้ อาจไม่ดีนัก ให้เด็กหัดใช้แป้นพิมพ์ หรือตอบคำถามปากเปล่าบ้าง
42) ทำตัวเหมือนผู้ควบคุมวงดนตรี ทำให้ลูกวงสนใจก่อนเริ่มเล่น โดยอาจทำตัวเงียบ เคาะโต๊ะ แบ่ง เวลาให้แต่ละคนในห้อง โดยอาจชี้ให้เด็กช่วยตอบ
43) จัด “คู่หู” เพื่อนช่วยเรียน และให้เบอร์โทรศัพท์ ติดต่อไว้
44) ช่วยอธิบาย ทำให้การรักษาดูเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อลดความอายของเด็ก
45) พบผู้ปกครองบ่อยๆ ไม่ใช่พบแต่เมื่อเกิดปัญหา
46) ให้อ่านออกเสียงที่บ้าน และในห้องเรียนเท่าที่เป็นไปได้ อาจให้อ่านนิทาน จะช่วยให้เด็กมี ทักษะในการคงความสนใจอยู่กับเรื่องๆเดียวได้
47) พูดย้ำ ย้ำ และย้ำ
48) การออกกำลังกาย ช่วย ADD ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ การออกกำลังกายหนักๆ เพราะช่วย ทำลายพลังงานส่วนเกิน ช่วยให้มีสมาธิ และเป็นการกระตุ้นสารต่างๆในร่างกายซึ่งเป็น ประโยชน์และสนุก และเขาจะทำตลอดไป
49) สำหรับเด็กโต ช่วยเด็กเตรียมตัวเรียนสำหรับวันรุ่งขึ้น โดยคุยกับเด็กว่าเขาจะเตรียมตัวอย่างไร
50) มองหาส่วนดีที่ปรากฎขึ้นในเด็กเสมอ เด็กเหล่านี้มักฉลาดกว่าที่เราเห็น มีความสร้างสรร ขี้เล่น และเป็นกันเอง เขาพยายามจะ “กลับ” มาสู้เสมอ เขาต้องการกำลังใจและดีใจที่มีคนช่วย จำไว้ ว่าต้องมีทำนองก่อนจะเขียนโน้ตประสานเสียงเสมอ
Psychology-Pathology โรคทางจิตเวชที่ควรรู้ 2
โดย นพ.สุรชัย เกื้อศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์
โรคไบโพล่าร์ (Bipolar disorder) หรือ โรคอารมณ์สองขั้วเป็นโรคที่มีอาการผิดปกติที่สำคัญทางอารมณ์ 2 แบบ คือ ภาวะแมเนีย และภาวะ ซึมเศร้า จึงเคยถูกเรียกว่า Manic- depressive disorder ความเจ็บป่วยทางอารมณ์ทั้ง 2 แบบนั้นรุนแรง ไม่ใช่อารมณ์ปกติ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนรบกวน การทำงานของจิตใจและความสามารถด้านต่าง ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของสมอง ภาวะโรคจะครอบงำบุคคลนั้น จนทำให้สูญเสียความเป็นคนเดิมไป
ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์จะมีภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นบ่อยกว่าภาวะแมเนียเกือบ 3 เท่า อาการที่พบบ่อย ในภาวะอารมณ์ 2 แบบภาวะ
1.ซึมเศร้าหรืออารมณ์ตก
- ขาดความร่างเริงไม่สนุกสนานเหมือนเก่า
- เบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา
- อารมณ์เศร้า หรือร้องไห้ง่ายโดยไม่มีเหตุชัดเจน
- ความอยากอาหารและการนอนลดลง หมดเรี่ยวแรงในการทำงาน อ่อนเพลียตลอดเวลา
- หงุดหงิด โกรธง่ายกว่าปกติ
- มองโลกในแง่ร้ายไปหมด
- ขาดสมาธิ ความจำลดลง
- หมกหมุ่น คิดวนเวียนเรื่องเดิม ไม่สามารถตัดสินใจได้
- ไม่อยากสังสรรค์ หรือออกสังคม
- มีอาการปวดที่ไม่ทราบสาเหตุ
- มองตนเองว่าไร้ค่า หรือเป็นภาระ ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปทำไม มีความคิดทำร้ายตนเอง หรืออยากฆ่าตัวตายบ่อยๆ
- มีพลังมากขึ้นกว่าปกติ
- มีการแสดงออกและการคิดอ่านมากกว่าปกติ
- มีความเข้มของอารมณ์มากขึ้น ทั้งอารมณ์แบบ สนุกสนานร่าเริงและก้าวร้าว โดยเฉพาะเมื่อถูกขัดใจ
- ความเชื่อมั่นตนเองมากขึ้น เชื่อว่าตนเองเก่งสามารถ ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้และชอบวิจารณ์ผู้อื่น มากขึ้น เอาแต่ใจ
- มีอาการหลงผิดถึงความยิ่งใหญ่ หรือความเก่งของตนเอง
- ความต้องการในการนอนลดลง แต่ไม่อ่อนเพลีย
- ความคิดว่องไวเหมือนรถด่วน แสดงออกด้วยการ พูดเร็วและมีเนื้อหามาก เสียงดัง
- ขาดความจดจ่อต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ
- ขยันทำกิจกรรมต่างๆ อย่างขาดความยั้งคิดหรือ มีพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น หรือแสดงออกแบบเกินตัว
- มีความต้องการทางเพศสูงขึ้น
ภาวะซึมเศร้าในโรคไบโพล่าร์และโรคอารมณ์เศร้า
ภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นได้ทั้งใน โรคไบโพล่าร์ และโรคอารมณ์เศร้า (Major depressive disorder หรือ Unipolar depression) แต่ในโรคไบโพล่าร์จะรุนแรงกว่า มีการสูญเสียความสามารถในการทำงาน สังคม และครอบครัว
ภาวะซึมเศร้าในโรคไบโพล่าร์ (Bipolar depression) มักมีลักษณะอาการต่อไปนี้เด่น ทำให้แตกต่างจากที่เกิดในโรคอารมณ์เศร้า คือ
1. มักเกิดอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นหรือวัยเรียน และมีประวัติเป็นๆ หายๆ หลายครั้ง
2. มีการเคลื่อนไหว และความคิดอ่านช้าลง
3. นอนมาก และรับประทานอาหารมากขึ้น
4. ขาดกำลังใจ มองว่าตนเองไร้ค่าหรือไม่มีประโยชน์
5. มักมองโลกที่เคยสดใสกลายเป็นมืดมน ขาดความเพลิดเพลิน และไม่ร่าเริง
6. มีอาการวิตกกังวลรุนแรงร่วมด้วย
7. มีอาการหลงผิดเกิดขึ้นร่วมกับอาการทางอารมณ์
8. มีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มองว่าบุคคลอื่นไม่สนใจหรือไม่เป็นมิตร
9. มีประวัติการติดสารเสพติด หรือพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย
10. มีประวัติโรคไบโพล่าร์หรือโรคอารมณ์เศร้าในครอบครัว
มีความจำเป็นอย่างมากในการแยกภาวะซึมเศร้าในโรคทั้งสองโรคออกจากกัน เพราะการดำเนินโรค ตลอดจนแนวทางการรักษาและป้องกันก็ต่างกันการรักษาภาวะ ซึมเศร้าในโรคไบโพล่าร์ การรักษาควรประกอบด้วยการใช้ยา การดูแลด้านจิตใจ การปรับพฤติกรรมตลอดจนการให้ความรู้เกี่ยวกับโรค และการรักษากับผู้ป่วยและญาติยังไม่มียารักษาอาการเศร้าตัวใดได้รับการรับรองในการรักษาภาวะซึมเศร้าในโรคไบโพล่าร์ถ้าจำเป็นต้องใช้ยารักษาอาการเศร้า ควรลดขนาดยาลงเมื่อผู้ป่วยหายจากอาการแล้วและหยุดในที่สุด ควรระมัดระวังการเหวี่ยงกลับไปเป็นแมเนีย อย่างรวดเร็ว หรือเกิด rapid cycling ถ้าผู้ป่วยได้รับยาคงสภาพอารมณ์ที่มีฤทธิ์ต้านซึมเศร้าอันได้แก่ Lithium และ Lamotrigine อยู่ก่อนแล้ว ควรปรับขนาดขึ้นให้เพียงพอ .
Psychology-Pathology โรคทางจิตเวชที่ควรรู้
นพ.สเปญ อุ่นอนงค์
http://www.infomental.com
โรคแพนิคเป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีคนเป็นกันมากและเป็นกันมานานแล้วแต่ประชาชนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จักและยังไม่มีชื่อโรคอย่างเป็นทางการในภาษาไทย บางคนอาจเรียกโรคนี้ว่า "หัวใจอ่อน" หรือ " ประสาทลงหัวใจ" แต่จริงๆแล้วโรคนี้ไม่มีปัญหาอะไรที่หัวใจและ ไม่มีอันตราย เวลามีอาการผู้ป่วย จะรู้สึกใจสั่นหัวใจเต้นแรง อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ทันหรือหายไม่เต็มอิ่ม ขาสั่น มือสั่น มือเย็น บางคนจะมีอาการวิงเวียนหรือมึนศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน ขณะมีอาการผู้ป่วยมักจะรู้สึกกลัวด้วย โดยที่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะกลัวว่าตัวเองกำลังจะตาย กลัวเป็นโรคหัวใจ บางคนกลัวว่าตนกำลังจะเสียสติหรือเป็นบ้า อาการต่างๆมักเกิดขึ้นทันทีและค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเต็มที่ในเวลาประมาณ 10 นาที คงอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วค่อยๆทุเลาลง อาการมักจะหายหรือเกือบหายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากอาการแพนิคหายผู้ป่วยมักจะเพลีย และในช่วงที่ไม่มีอาการผู้ป่วยมักจะกังวลกลัวว่าจะเป็นอีก
อาการแพนิคจะเกิดที่ไหนเมื่อไรก็ได้และคาดเดาได้ยากแต่ผู้ป่วยมักพยายามสังเกตุและเชื่อมโยงหาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการเพื่อที่ตนจะได้หลีกเลี่ยงและรู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้บ้าง เช่นผู้ป่วยบางราย ไปเกิดอาการขณะขับรถก็จะไม่กล้าขับรถ บางรายเกิดอาการขณะกำลังเดินข้ามสะพานลอยก็จะไม่กล้าขึ้นสะพานลอย ผู้ป่วยบางรายไม่กล้าไปไหนคนเดียวหรือไม่กล้าอยู่คนเดียวเพราะกลัวว่าถ้าเกิดอาการขึ้นมาอีกจะไม่มีใครช่วย ในบางรายอาจมีเหตุกระตุ้นจริงๆบางอย่างได้ เช่น การออกกำลังหนักๆ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำโคล่า ในกรณีแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆเหล่านี้
ขณะเกิดอาการผู้ป่วยมักกลัวและรีบไปโรงพยาบาลซึ่งแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินมักตรวจไม่พบความผิดปกติและมักได้รับการสรุปว่าเป็นอาการเครียดหรือคิดมาก ซึ่งผู้ป่วยก็มักยอมรับไม่ได้และปฏิเสธว่าไม่ได้เครียด เมื่อเกิดอาการอีกในครั้งต่อมาผู้ป่วยก็จะไปโรงพยาบาลอื่นและมักได้คำตอบแบบเดียวกัน ผู้ป่วยหลายๆ รายไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพโดยเฉพาะหัวใจซึ่งก็มักได้รับการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดและไม่พบความผิดปกติอะไรที่สามารถอธิบายอาการดังกล่าวได้ซึ่งก็ยิ่งทำให้ผู้ป่วยกังวลมากขึ้นไปอีก อาการต่างๆที่เกิดขึ้นเรียกว่า อาการแพนิค (panic attack) ซึ่งแปลว่า “ตื่นตระหนก” เราจะสังเกตุได้ว่าอาการต่างๆจะคล้ายกับอาการของคนที่กำลังตื่นตระหนก ในโรคแพนิคผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิคนี้ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุกระตุ้น และ คาดเดาไม่ถูก ว่าเมื่อไรจะเป็นเมื่อไรจะไม่เป็น การไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นอะไรจะยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้รุนแรงขึ้น อาการแพนิค ไม่มีอันตราย อาการนี้ทำให้เกิดความไม่สบายเท่านั้นแต่ ไม่มีอันตราย สังเกตุได้จากการที่ผู้ป่วยมักจะ มีอาการมานาน บางคนเป็นมาหลายปี เกิดอาการแพนิคมาเป็นร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักที บางคนเป็นทีไรต้องรีบไปโรงพยาบาล "แทบไม่ทัน" แต่ไม่ว่ารถจะติดอย่างไรก็ไป "ทัน" ทุกครั้งเพราะอาการ แพนิค ไม่มีอันตราย
ในปัจจุบันเราพอจะทราบว่าผู้ป่วยโรคแพนิคมีปัญหาในการทำงานของสมองส่วนที่ทำให้เกิดอาการ “ตื่นตระหนก” โดยเป็น ความผิดปกติของสารสื่อนำประสาท บางอย่าง เราจึงสามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคนี้จะมี 2 กลุ่มคือ
1. ยาป้องกัน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า ปรับยาครั้งหนึ่งต้องรอ 2-3 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผลคืออาการแพนิคจะห่างลง และเมื่อเป็นขึ้นมาอาการก็จะเบาลงด้วย เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นเลย ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าบางตัว เช่น เล็กซาโปร (lexapro) โปรแซก (prozac) โซลอฟ (zoloft) ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดการติดยาและสามารถหยุดยาได้เมื่อโรคหาย ในการรักษาด้วยยาเราจะจ่ายทั้งยาป้องกันและยาแก้ เพราะในช่วงแรกๆยาป้องกันยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจะยังมีอาการจึงยังต้องใช้ยาแก้อยู่ เมื่อยาป้องกันเริ่มออกฤทธิ์ผู้ป่วยจะกินยาแก้น้อยลงเอง แพทย์จะค่อยๆเพิ่มยาป้องกันจนผู้ป่วย "หายสนิท" คือไม่มีอาการเลย แล้วให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อไปเป็นเวลา 8-12 เดือน หลังจากนั้นจะให้ผู้ป่วยค่อยๆหยุดยา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้โดยไม่มีอาการกลับมาอีก แต่ก็มีบางรายที่มีอาการอีกเมื่อลดยาลง ในกรณีแบบนี้เราจะเพิ่มยากลับขึ้นไปใหม่แล้วค่อยๆลดยาลงช้าๆ
2. ยาแก้ เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้เฉพาะเมื่อเกิดอาการขึ้นมา เป็นทีกินที กินแล้วหายเร็ว ได้แก่ยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามของยา “กล่อมประสาท” หรือยา “คลายกังวล” เช่น แวเลี่ยม (valium) แซแนก (xanax) อะติแวน (ativan) ยาประเภทนี้มีความปลอดภัยสูง (แปลว่าไม่มีพิษ ไม่ทำลายตับ ไม่ทำลายไต) แต่ถ้ารับประทาน ติดต่อกันนานๆ (2-3 สัปดาห์ขึ้นไป) จะเกิดการติดยาและเลิกยากและเมื่อหยุดยากระทันหันจะเกิดอาการขาดยา ซึ่งจะมีอาการเหมือนอาการแพนิค ทำให้แยกแยะไม่ได้ว่าหายหรือยัง ดังนั้นแพทย์จะเน้นกับผู้ป่วยว่าให้กินเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น ยังไม่เป็นห้ามกิน รอให้เริ่มมีอาการแล้วค่อยกินก็ทันเพราะมันออกฤทธิ์เร็ว
สาเหตุ
มีปัจจัยหลายประการที่อาจประกอบกันทำให้เกิดอาการ เช่น
1. ศูนย์ควบคุมการทำงานของสมองและจิตใจเกี่ยวกับความหวาดกลัวไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ
2. กรรมพันธุ์ โรคนี้อาจพบได้ในครอบครัวเดียวกัน
3. การมีอาการจู่โจมเกิดขึ้นครั้งแรก อาจมีความสัมพันธ์กับความตึงเครียดในชีวิต โรคทางอายุรกรรม หรือสารยาบางตัว บางรายอาจไม่มีสิ่งกระตุ้นเหล่านี้เลยและ ถึงแม้ว่า สิ่งกระตุ้นได้หมดไปแล้วก็ตาม แต่ผู้ป่วยก็ยังคงมีอาการจู่โจมเกิดขึ้นต่อไป
คำแนะนำ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่ควรทำ
1. ออกกำลังกายตามสมควร ตามความสามารถ
2. โรคนี้ไม่เป็นอันตรายถึงเสียชีวิต เหมือนที่ผู้ป่วยมักกลัว
3. ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษา
4. ไม่ควรบรรเทาอาการด้วยการเสพสุรา หรือใช้ยานอนหลับ เพราะอาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อหยุดเสพ
5. ลดหรืองด กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน ประเภทโคล่าทุกชนิด
6. ออกกำลังกายตามสมควรตามความสามารถ
7. เมื่ออาการต่าง ๆ ทุเลาแล้ว ควรออกไปเผชิญกับสถานการณ์ที่เคยหวาดกลัว และลองทำกิจกรรมที่เคยหลีกเลี่ยง โดยเริ่มทีละเล็กน้อยแต่สม่ำเสมอ
8. ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เพื่อลดระดับของความตึงเครียด
การฝึกควบคุมการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย
1. นอนหงายตามสบายบนเตียง หรือพื้นที่ในบริเวณที่สงบ
2. มือทั้งสองประสานวางอยู่บนหน้าท้องไม่เกร็ง ผ่อนคลายกล้ามเนื้ออกและหัวไหล่
3. สูดลมหายใจเข้าช้าๆพร้อมทั้งสังเกตและจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของลมหายใจที่ผ่านรูจมูกเข้าไปลึกเต็มที่จนหน้าท้องขยายขึ้นรู้สึกได้จากการที่มือทั้งสองถูกยกขึ้นช้า ๆ และหัวไหล่เคลื่อนขึ้น
4. เมื่อหายใจเข้าเต็มที่แล้ว นับ 1,2,3 ในใจช้า ๆ
5. ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ พร้อมทั้งสังเกต และจดจ่อที่การเคลื่อนไหวของลมหายใจที่เคลื่อนที่ออกผ่านรูจมูกจนหน้าท้องแฟบลง มือทั้งสองลดต่ำลง
6. เมื่อหายใจออกจนหมด นับ 1,2,3 ในใจช้า ๆ
7. เริ่มหายใจเข้าและหายใจออกสลับกันไป เป็นจังหวะสม่ำเสมออย่างน้อย 10 ครั้ง
8. เมื่อมีความชำนาญอาจทำเวลานั่งโดยพิงเก้าอี้ตามสบาย มือทั้งสองวางไว้ที่หน้าขาหรือประสานกันอยู่ที่หน้าท้อง วิธีการเหมือนกับการควบคุมการหายใจในท่านอนหงาย ทุกประการ
ดาราเกาหลีก็เป็นได้นะจ๊ะอย่างเช่น จอนจิน (Shinhwa) ทรมานกับการเป็นโรคแพนิค (Panic Disorder)
จอนจิน (Jun Jin) หนึ่งในสมาชิกวงชินฮวา (Shinhwa) ได้ต่อสู้กับความกดดัน และเข้ารับการบำบัดมาเป็นเวลา 1 ปีครึ่งแล้ว และจากนั้นมา เขาได้เป็นโรคแพนิค (Panic Disorder) โรคที่มีอาการตื่นตระหนกเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุกระตุ้น
"เมื่อกลับบ้านหลังจากการทำงาน ผมรู้สึกกลัวว่าจะถูกทำร้ายโดยใครสักคนด้วยดาบไม้ และไม้เบสบอล กรณีที่หนักๆจะเป็นว่า ผมกลัวว่าเวทีจะทรุดลงในขณะที่ผมกำลังขึ้นแสดง ผมจึงต้องพยายามลืมมันโดยการตั้งหน้าตั้งตาเต้น แต่ผมสามารถผ่านพ้นโรคแพนิคได้ เพราะว่าครอบครัวของผม และเพื่อนๆสมาชิกวงชินฮวา" จอนจินกล่าวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เขาได้รับ จากการเป็นโรคแพนิค
จอนจินกล่าวว่า เมื่อเขาอายุ 19 ปี เขามีความพิการทางจิตใจ (Phychological Trauma)
จิตวิทยา (อังกฤษ: psychology อ่านว่า ไซโคโลจี)
บทนำ
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำข้อมูลความรู้มาเสนอ อธิบาย และเพื่อควบคุมและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ จิตวิทยามุ่งศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการของร่างกายกับจิตใจ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นระเบียบแบบแผน เพราะร่างกายและจิตใจมักมีการแสดงออกร่วมกัน อีกทั้งยังแสดงออกในแนวทางที่สามารถทำนายได้
ภาษาทางจิตวิทยา
จิตวิทยาก็มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกษาเช่นเดียวกับศาสตร์อื่น ๆ คำศัพท์บางส่วนประกอบด้วยคำศัพท์ที่คนทั่วไปใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน คำศัพท์บางคำก็เป็นคำศัพท์ทางวิชาการที่คุ้นเคย ถึงแม้ศัพท์บางคำจะเป็นที่เข้าใจ และคุ้นเคยของคนทั่วไป แต่นักจิตวิทยาก็ได้ให้ความหมายเฉพาะเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการศึกษาจิตวิทยา
ปัญหาและการเลือกปัญหาของนักจิตวิทยา
เหมือนกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป กระบวนการทางจิตวิทยา เริ่มจากการเลือกปัญหาที่สนใจ แล้วจึง สังเกต ศึกษา หรือทดลอง อย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหา แล้วทำการรวบรวม เรียบเรียง และตีความข้อเท็จจริงที่ได้ หากนักจิตวิทยาพบแนวทางที่จะแก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่กำหนด และสามารถนำมาสัมพันธ์ เกี่ยวข้องเป็นคำตอบของคำถามกว้าง ๆ ได้ นักจิตวิทยาก็จะสนใจ และลงมือศึกษาทันที แต่บางครั้งปัญหาก็เกิดขึ้นจากการสังเกตสิ่งรอบ ๆ ตัว
นักจิตวิทยาได้แบ่งความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาทางจิตวิทยาออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ กลุ่มแรกเห็นว่า การเลือกปัญหานั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้าของนักจิตวิทยา กลุ่มที่สองนั้นกลับเห็นว่า การเลือกปัญหาและการตั้งคำถามควรจะเป็นไปตามทฤษฎี และกลุ่มหลังเห็นว่าความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นเอง เป็นแรงจูงใจที่ดีที่สุดสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเรามองโดยรวมแล้ว จะเห็นว่าทั้งความอยากรู้อยากเห็นและทฤษฎี ต่างก็มีส่วนช่วยในการสังเกต อธิบาย และตีความข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพราะทฤษฎีนั้นมีบทบาทที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่สังเกต และชี้ให้เห็นคำถามใหม่ ๆ อีกทั้งยังชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ของข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นทฤษฎีจึงมีประโยชน์และมีบทบาทเป็นที่ยอมรับทั่วไป
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
เหมือนกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป วิธีการทางจิตวิทยาประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นการสังเกตองค์ประกอบหรือตัวแปรที่สำคัญ ๆ อย่างมีระบบ และขั้นการรวบรวมและตีความข้อมูลที่ได้มา ซึ่งการดำเนินการสังเกตอย่างมีระบบ คือ ความพยายามที่จะกำจัดอิทธิพลของอคติหรือความลำเอียงของผู้สังเกต และสามารถรับรองได้ว่า การสังเกตนั้นสามารถกระทำซ้ำได้
วิธีการสังเกตอย่างมีระบบนั้น มี 2 วิธี ได้แก่ วิธีการทดลอง (experimental method) โดยสร้างสถานการณ์ ขึ้นเพื่อสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดตามมา และวิธีการหาความสัมพันธ์ (correlation method) โดยการสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
วิธีการทดลอง
ผู้สังเกตจะถูกเรียกว่าผู้ทดลองที่จะสร้างสภาวะหรือตัวแปรขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์หรือผลกระทบต่อ ตัวแปรอื่น ๆ อาจเป็นการเปรียบเทียบตัวแปรระหว่างกลุ่มทดลอง 2 กลุ่มหรือมากกว่านั้น แล้วรายงานผลการทดลอง หรือผลจากการรวบรวมและตีความหมายของการเปรียบเทียบที่ได้จากการทดลอง วิธีการนี้นิยมกระทำในห้องทดลองหรือห้องปฏิบัติการ เพราะสามารถควบคุมตัวแปรหรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ หรือให้เหลือน้อยที่สุด อีกทั้งการสังเกตก็ สามารถกระทำได้ง่ายและมีความถูกต้องแม่นยำ
ตัวแปรที่ใช้ในการทดลองแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ตัวแปรอิสระ ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่ถูกกำหนดขึ้น และ ตัวแปรตาม ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่คาดว่าจะเป็นผลจากการกระทำกับตัวแปรอิสระ
หลังจากได้ทราบผลจากการทดลองแล้ว ผู้ทดลองต้องทำการสรุปแล้วรายงานผลการทดลองให้ผู้อื่นทราบ เพื่อให้ผู้อื่นสามารถนำผลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ หรือทำการศึกษาต่อยอดความรู้ออกไป
วิธีการหาความสัมพันธ์
วิธีการหาความสัมพันธ์ เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยที่ไม่ได้เจาะจงว่าตัวแปรใดมีอิทธิพลเหนือตัวแปรใด ค่าความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัว เรียกว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (coefficient correlation) ซึ่งจะมีค่าระหว่าง -1.00 ถึง 1.00
วิธีการหาความสัมพันธ์ มีดังต่อไปนี้
วิธีวัดทางจิตวิทยา (Psychometric techniques) ใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาและแบบสอบถาม เพื่อวัด ความแตกต่างของลักษณะต่างๆของบุคคล หรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยทั่วไปแบบทดสอบที่ใช้ใน งานวิจัยด้านหาความสัมพันธ์สามารถทดสอบตัวแปรอิสระได้เป็นรายๆไป ดังนั้น วิธีวัดทางจิตวิทยานี้จึงแสดงให้เห็น ความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัว ด้วยผลที่ได้จากการทำแบบทดสอบหรือแบบสอบถามนั่นเอง
การสังเกตในสภาพธรรมชาติ (Naturalistic Observation) การสังเกตในสภาพธรรมชาติจะให้ข้อ เท็จจริงได้มากกว่า เพราะเป็นการสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ผู้ถูกสังเกตจะต้องไม่รู้ตัวว่าถูกสังเกต เพื่อให้พฤติกรรม ต่างๆเป็นไปตามธรรมชาติโดยแท้จริง แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการสังเกตระยะหนึ่ง ซึ่งบางครั้งอาจค่อนข้างยาวนาน
การสังเกตด้วยวิธีการทางคลีนิค (Clinical Method of Observation) เป็นการศึกษาประวัติรายบุคคล (กรณีศึกษา) ซึ่งจะช่วยให้นักจิตวิทยาเข้าใจประวัติความเป็นมา พื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู รวมไปถึงพื้นฐานของการ เกิดพฤติกรรม เพื่อใช้ประกอบการบำบัดรักษาหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
วิธีการสังเกตดังกล่าวอาจเกิดผิดพลาดด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ผู้ศึกษาจึงต้องมีการวางแผนและได้รับการฝึกฝนอย่างดี โดยเฉพาะการสังเกตวิธีทางคลีนิค ที่ไม่สามารถกระทำซ้ำได้ ทั้งวิธีการทดลองและวิธีการหาความสัมพันธ์ต่างก็มีประโยชน์และความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี แต่หลายๆ ครั้งที่มีการผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน เพื่อการศึกษาที่ละเอียดหลายๆด้าน และเป็นประโยชน์ในทางจิตวิทยามากยิ่งขึ้น
โครงสร้างของจิตวิทยา
จิตวิทยาประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
ลักษณะเนื้อหาวิชา แบ่งเป็นเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ พัฒนาการของมนุษย์, พันธุกรรม, ระบบการตอบสนอง, การรับรู้, การรู้สึก, แรงจูงใจ, อารมณ์, ภาษา การคิด และการแก้ปัญหา, เชาวน์ปัญญาและการทดสอบเชาวน์ปัญญา, บุคลิกภาพแบบต่าง ๆ และการประเมินบุคลิกภาพ, รูปแบบต่างๆของพยาธิสภาพทางพฤติกรรม, จิตบำบัด, และจิตวิทยาชุมชน
เป้าหมายของจิตวิทยา เป้าหมายของการศึกษาได้มาจากวิธีการที่แตกต่างกัน 3 ประเภท ได้แก่
การวิจัยบริสุทธิ์หรือการวิจัยพื้นฐาน มาจากการค้นคว้าด้วยใจรัก ค้นหาหลักการของพฤติกรรมทั้งของมนุษย์และสัตว์ โดย ไม่ได้คำนึงว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสังคมได้หรือไม่ ผู้วิจัยต้องเป็นผู้มีระเบียบแบบแผน มีจรรยาบรรณของนักวิจัย มีจริยธรรมและความเป็นกลางทางสังคม
การวิจัยประยุกต์ ให้ความสนใจในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ผลจากการวิจัยในปัญหานี้สามารถ นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ การวิจัยดังกล่าวต้องได้รับการวางแผนดำเนินการ ควบคุมวิธีการด้วยความระมัดระวัง การวิจัย บริสุทธิ์ก่อให้เกิดการวิจัยประยุกต์อย่างมีแบบแผน
การประยุกต์ใช้ เป็นการประยุกต์คำตอบที่ได้ ไปใช้ในสถานการณ์จริงๆ ในโลกซึ่งไม่มีการควบคุม สภาวะใดๆ นักจิตวิทยากลุ่มที่มีการประยุกต์ใช้มากที่สุด คือ นักจิตวิทยาคลินิก รองลงมาคือ นักจิตวิทยาการศึกษา
สถานที่ดำเนินงานทางจิตวิทยา
นักจิตวิทยาสาขาต่างๆทำงานในสถานที่แตกต่างกัน บางสาขาทำวิจัยและสอนในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย บาง สาขาทำงานในคลินิกและโรงพยาบาล, ศูนย์บริการให้คำแนะนำปรึกษาต่างๆในโรงเรียน, บริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรม, ศูนย์สุขภาพจิต ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ศูนย์พักฟื้นคนไข้ที่เพิ่งถูกส่งออกจากโรงพยาบาล ศูนย์บริการประชาชน เป็นต้น
ความสัมพันธ์ของจิตวิทยากับศาสตร์อื่น
จิตวิทยามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับศาสตร์ทางชีววิทยา ซึ่งได้แก่ สรีรวิทยา ประสาทวิทยาและชีวเคมี พฤติกรรม ของบุคคลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาจากบุคคลนั้นโดยตรงก่อน ทั้งทางด้านพันธุกรรม ระดับวุฒิภาวะ และสภาพการ เคลื่อนไหวของร่างกาย และปัจจุบันก็สัมพันธ์อย่างเด่นชัดกับมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา โดยมานุษยวิทยาศึกษาจุดกำเนิด ของมนุษย์ และการสืบทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งแวดล้อมทางสังคม ส่วนด้านสังคมวิทยาจะเน้น ศึกษากลุ่มสังคมมากกว่าตัวบุคคล โดยศึกษาการปะทะสังสรรค์ของแต่ละบุคคลในกลุ่ม และศึกษาอิทธิพลของกลุ่มที่มีต่อ แต่ละบุคคล
จิตวิเคราะห์
นักจิตวิทยา ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้พัฒนาวิธีการบำบัดทางจิตเรียกว่าจิตวิเคราะห์ การศึกษาของฟรอยด์เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสังเกต และแปลความหมายพฤติกรรมของคนไข้ของเขา การศึกษาของเขาส่วนมากเป็นการทำความเข้าใจจิตไร้สำนึก การเจ็บป่วยทางจิต และจิตพยาธิวิทยา ทฤษฎีของฟรอยด์เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่นำมาใช้อธิบายพัฒนาการทางพฤติกรรมของมนุษย์ และได้กลายเป็นทฤษฎีที่รู้จักและถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง เพราะเรื่องที่เขาศึกษานั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ การเก็บกดอารมณ์ทางเพศ และจิตไร้สำนึก ซึ่งในช่วงเวลานั้นเรื่องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคม แต่ฟรอยด์ก็สามารถทำให้การศึกษาของเขาเป็นปรเด็นสำหรับการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสุภาพได้
ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา
จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
การขยายตัวทางจิตวิทยา
ห้องปฏิบัติการทดลองทางจิตวิทยาห้องแรก ถูกสร้างขึ้นโดย Wilhelm Wundt ในปี ค.ศ. 1897 ที่เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี โดยมีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้น คือ กลุ่มโครงสร้างนิยม (Structuralism) การศึกษาจิตต้องศึกษาส่วนย่อย ๆ ที่ประกอบขึ้นมา ใช้วิธีการพื้นฐานทางจิตวิทยา คือ การสังเกตตนเอง หรือที่เรียกว่า การตรวจพินิจจิต (Introspection)
ในปี ค.ศ. 1890 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้นใหม่อีก คือ กลุ่มหน้าที่นิยม (Functionalism) นักจิตวิทยากลุ่มนี้เห็นว่า จิตวิทยาควรเป็นการศึกษาวิธีการที่คนเราใช้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคคลนั้นพอใจ และเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพของบุคคลนั้นด้วย นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจ ความรู้สำนึก (consciousness) เพราะความรู้สำนึกเป็นเครื่องมือที่ทำให้บุคคลเลือกกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้สำนึกเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ไม่สามารถแยกวิเคราะห์เป็นส่วนย่อยได้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้สนใจศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมมากกว่าการศึกษาพฤติกรรมที่ปรากฏออกมา ให้เห็น
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้เสนอทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) โดยมีวิธีการศึกษา จากการสังเกตและรวบรวมประวัติคนไข้ที่มารับการบำบัดรักษา ฟรอยด์เชื่อว่าความไร้สำนึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และเน้นถึงความต้องการทางเพศตั้งแต่วัยเด็ก
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จอห์น บี วัตสัน ได้ก่อตั้ง กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioralism) โดยเห็นว่า การตรวจพินิจจิตเป็นวิธีการที่ไม่ดีพอ การศึกษาจิตวิทยาควรจะหลีกเลี่ยงการศึกษาจากความรู้สำนึก แล้วหันไปศึกษา พฤติกรรมที่มองเห็นได้ เพื่อให้สามารถทำนายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ และเน้นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมว่ามี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกว่าพันธุกรรมอีกด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศเยอรมนีได้เกิดกลุ่มจิตวิทยาขึ้น ได้แก่ จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) แนวคิดของจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นว่า การทำงานของจิตเป็นการทำงานของส่วนรวม ดังนั้นจึงสนใจศึกษาส่วนรวมมากกว่าส่วน ย่อย แนวคิดนี้เริ่มมีบทบาทขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาชาวอเมริกันเริ่มให้ความสนใจในปัญหาของการรับรู้ การคิดแก้ปัญหาและ บุคลิกภาพ จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของกลุ่มจิตวิทยาการรู้การเข้าใจ (Cognitive psychology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกภายใน ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และต่อจากนั้นมา จิตวิทยาก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปและนิสิตนักศึกษามาก ขึ้นเรื่อยๆ
จิตวิทยาในประเทศไทย
หลายคนเชื่อว่าจิตวิทยาเกิดขึ้นในโลกเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว นั่นคือ จิตวิทยาทางพระพุทธศาสนา นั่นเอง สำหรับในประเทศไทยนั้น เพิ่งมีหลักฐานปรากฏว่ามีการสอนวิชาจิตวิทยาในโรงเรียนฝึกหัดครูปฐม ในช่วงเวลาก่อน พ.ศ. 2473 เล็กน้อย และในปี พ.ศ. 2473 ก็มีการสอนจิตวิทยาเป็นวิชาหนึ่งใน 5 วิชา ของการสอนวิชาครุศาสตร์ใน คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 กระทรวงศึกษาธิการด้วยความช่วยเหลือขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้จัดตั้ง สถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็กขึ้นในวิทยาลัยวิชาการศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่วิชาเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก ต่อมามีการศึกษาที่กว้างขวางมากขึ้น ใน สถาบันอื่นก็ได้เปิดหลักสูตรวิชาจิตวิทยาในหลายสาขา ในปัจจุบันและในอนาคต มีการคาดหวังไว้ว่าจิตวิทยาในประเทศไทย จะเจริญก้าวหน้า ช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป
อ้างอิง
บังอร ชินกุลกิจนิวัฒน์. "บทแนะนำจิตวิทยา (Introduction to Psychology)" ใน จำรอง เงินดี และทิพย์วัลย์ สุรินยา (บรรณาธิการ). จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2545.
หลุย จำปาเทศ.จิตวิทยาการจูงใจ. ภาควิชาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร. 2533.
หลุย จำปาเทศ.จิตวิทยาการบริหาร. โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร. 2542.
หลุย จำปาเทศ.จิตวิทยาสัมพันธ์. โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร. 2533